หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
ผมปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ในช่วงปลายสมัยของ อาจารย์ยุกต์ ณ ถลาง
ผมปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ในช่วงปลายสมัยของ อาจารย์ยุกต์ ณ ถลาง (อดีตประธานกรรมการของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) ตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยว่างลง เพราะคุณฐาปนา บุนนาค ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาอันยาวนานขอเกษียณตัวเอง
ตำแหน่ง “ผู้อำนวยการบริหาร” เป็นตำแหน่งสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่เป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานทั้งหมดขององค์กรเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่มีบารมีสามารถติดต่อผู้ใหญ่ในวงการราชการและการเมืองได้ตลอดเวลา เป็นผู้ที่ประสานการนัดหมายและส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานภายนอก ต้องทำงานร่วมกับประธานและเลขาธิการได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
การแสวงหาผู้มาปฏิบัติหน้าที่แทนคุณฐาปนาไม่ใช่ของง่าย เพราะคุณฐาปนามีความสามารถเป็นที่ยอมรับในวงการมานาน ท่านเรียนจบจากลอนดอน สกูล ออฟ อิโคโนมิกส์ (London School of Economics) มีลูกศิษย์ลูกหาและเพื่อนฝูงอยู่ในวงการราชการมากมาย เป็นคนที่สามารถโทรศัพท์ติดต่อรัฐมนตรีได้โดยตรง
เผลอๆ สั่งงานรัฐมนตรีบางคนก็ได้เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ช่วงนั้นเป็นจังหวะดีที่ คุณประยูร เถลิงศรี อดีตอธิบดีหลายกรมในกระทรวงพาณิชย์ผิดหวังกับชีวิตราชการ เนื่องจากไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวง กำลังมองหาทางเลือกใหม่ เพราะเหลืออายุราชการอีกไม่มาก อาจารย์ยุกต์ได้ชักชวนและโน้มน้าวให้คุณประยูรมาร่วมงานกับสภาหอฯ ในฐานะผู้อำนวยการบริหารแทนคุณฐาปนา ในที่สุดคุณประยูรก็ตอบรับคำเชิญ
ผมได้ร่วมทำงานกับคุณประยูรจนท่านครบวาระและเกษียณจากสภาหอการค้าฯ โดยตำแหน่งผมเป็นผู้บังคับบัญชาผู้อำนวยการบริหารในการบริหารงานประจำวัน แต่ผมยกย่องให้ท่านเป็นอาจารย์เพราะว่าท่านมีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ ผมเรียกท่านว่า อาจารย์เป็นประจำ
คุณประยูรเป็นผู้มีความสามารถสูง แต่ใจร้อนและบางครั้งก็แข็งกร้าว พวกลูกน้องกลัวมาก ผมต้องคอยขอร้องท่านให้ผ่อนลงบ้าง เพราะเด็กๆ ตามไม่ทัน อย่างไรก็ตามท่านทุ่มเทให้กับงานไม่แตกต่างกว่าสมัยเป็นอธิบดี มีความคิดใหม่ๆ มาปรับปรุงองค์กรมากมาย ผมทำงานสบาย ไม่ต้องคอยดันมีแต่ดึงไว้บ้างและบางครั้งก็ต้องเป็นท้าวมาลีวราช เจรจาหย่าศึกกับหอการค้าไทย หรือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพราะมีการเหยียบตาปลากันเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ในขณะนั้นคุณสุวิทย์ หวั่งหลี ขึ้นมาเป็นประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แทนอาจารย์ยุกต์ที่ครบวาระไป คุณสุวิทย์และกรรมการบางคน เช่น คุณประจักษ์สีบุญเรือง และคุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ชอบขับเครื่องบินเล็กเป็นงานอดิเรก เครื่องบินเล็กนี้มีประเภทที่เป็นสองที่นั่งหรือถ้าใหญ่หน่อยมีสี่ที่นั่ง ใช้สนามบินที่บางพระ ชลบุรี เป็นที่ขึ้นลงและเก็บรักษาเครื่องบิน
ผมมีโอกาสได้นั่งเครื่องบินชมวิวร่วมกับคุณประจักษ์และคุณสุวิทย์ในบางครั้ง ไปในฐานะผู้โดยสาร ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่สวดมนต์ไปพลางๆ เพราะเครื่องบินเล็กนี้ถ้าเกิดอุบัติเหตุตก ประกันชีวิตไม่คุ้มครอง จึงต้องเสี่ยงดวงเอาเอง
คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้จัดการใหญ่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย สมัยนั้น เตือนผมว่า ไม่ควรเสี่ยงนั่งเครื่องบินเล็กโดยไม่จำเป็น ตีความเข้าข้างตัวเองว่า ท่านคงไม่อยากเสียขุนพลมือดีอย่างเราไป
เป็นที่น่าเสียใจว่าทั้งสองท่านที่ผมกล่าวถึงคือคุณสุวิทย์และคุณประจักษ์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ คุณสุวิทย์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินที่ขับอยู่ชนภูเขาทางภาคเหนือ ขณะไปปฏิบัติหน้าที่ประธานในการประชุมของหอการค้าไทย เพราะอากาศแปรปรวน อย่างรวดเร็ว และนำเครื่องกลับสนามบินไม่ทัน คุณประจักษ์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์แถวบริเวณคลองรังสิตขณะพาลูกชายที่เป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ไปส่งที่เขาชะโงก
นับว่าเป็นการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์อันมีค่าของประเทศไปก่อนเวลาและนำมาซึ่งความเศร้าโศกของญาติมิตรเป็นอันมาก
ในยุคนี้หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมีผลงานที่สำคัญๆ สามเรื่องหลักๆ
เรื่องที่หนึ่งคือ การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน ผ่านคณะกรรมการหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิก ความร่วมมือนี้เป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ข้อตกลงที่ทำให้เกิด “ประชาคมอาเซียน” (ASEAN ECONOMICS COMMUNITY – AEC) ที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 2015
เรื่องที่สองคือ การเจรจาความร่วมมือทางการค้ากับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในขณะนั้น ความร่วมมือนี้มีการเจรจาเป็นทางการทุกปีโดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ ในที่สุดความสัมพันธ์นี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น ที่มีชื่อเรียกย่อๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า JTEPA (Japan Thailand Economics Partnership Agreement)
เรื่องที่สามคือ การส่งเสริมความร่วมมือภายในประเทศผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่มีผู้แทนจากภาครัฐนำโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน นำโดยประธานของสามสถาบัน คือ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย


