สร้างความกระจ่าง

รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธบทสนทนาในคลิปประวัติศาสตร์ระหว่างอดีตนายทหาร วัย 67 กับชายผู้มีบทบาทสำคัญสูงในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความกระจ่าง และคลายความสับสนต่อสาธารณะ

คำปฏิเสธของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม ในฐานะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้าของน้ำเสียงในคลิป หรือแม้กระทั่งคำชี้แจงตอบโต้จากรองโฆษกกองทัพบกที่ว่า ทหารไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง อาจไม่มีน้ำหนักพอจะรับฟังและสร้างความเข้าใจไปทิศทางเดียวกันได้ ด้วยคนทั้งสังคมเชื่อไปในทางตรงข้าม และปักใจไปแล้วว่าบทสนทนานั้นเป็นความจริง

รัฐบาลจึงไม่อาจมองเรื่องนี้ในทำนองไม่มีความหมาย หรือเป็นเรื่องไร้สาระ จำเป็นที่ผู้นำรัฐบาลต้องทำความจริงให้ปรากฏ หรือชี้แจงข้อสงสัยเพื่อลดความสับสนให้ผู้คนได้กระจ่างต่อความคลุมเครือ

ประการหนึ่ง คลิปเสียงได้สะท้อนว่ามีบุคคลพยายามใช้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมือง มีบุคคลอยู่เบื้องหลังการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ มีบุคคลพยายามแทรกแซงก้าวก่ายการบริหารงานของรัฐบาล กระทั่งมีบุคคลที่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวก้าวก่ายกิจการระหว่างประเทศ

คลิปเสียงดังกล่าวจะเป็นของจริง จะมีการตัดต่อหรือไม่ อาจเป็นการตั้งข้อสันนิษฐานกันได้ แต่ ณ เวลานี้สิ่งที่ควรลดความเคลือบแคลงก็คือการสร้างความเข้าใจบทบาทที่แท้จริงของรัฐบาล และอย่าให้บุคลากรในกองทัพทั้งหลายประหวั่นพรั่นพรึงต่อปรากฏการณ์นี้

คลิปเสียงดังกล่าวจะเป็นของจริง จะมีการตัดต่อหรือไม่ ผู้บัญชาการเหล่าทัพมิอาจเพิกเฉยต่อเนื้อหาในรายละเอียด

มิเช่นนั้นบทบาทของกองทัพในยุคนี้จะเสื่อมเสีย กระทั่งอาจถูกตีความไปได้ว่า มิได้ปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนตามพันธกิจที่วางไว้

ความจงรักภักดีก็เรื่องหนึ่ง การแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรมก็เรื่องหนึ่ง การนิรโทษกรรมก็เรื่องหนึ่ง หากหน่วยงานทั้งหลายไม่ยึดมั่นต่อกระบวนการที่ดี และยึดหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง จะบั่นทอนศรัทธาของประชาชน

โดยเฉพาะต่อกองทัพด้วยแล้ว จะขาดความน่าเชื่อถือในฐานะผู้รับผิดชอบความมั่นคงของประเทศ

ท้ายที่สุด ผลประโยชน์ที่พลเมืองของประเทศจะได้รับก็จะขาดตกบกพร่อง และจะกลายเป็นว่าการบริหารประเทศในเวลานี้เป็นเรื่องสมคบคิดของคนไม่กี่กลุ่ม ไม่กี่คน โดยมิได้ยึดนโยบายที่ได้ประกาศไว้ต่อรัฐสภา

หากความจริงเป็นไปเช่นนั้นเสียแล้ว เราจะเพรียกหาประชาธิปไตยกันไปทำไม