posttoday

ใครคือมารศาสนา?

23 มิถุนายน 2556

ผู้เขียนเป็นพุทธศาสนิกชนที่นับถือศาสนาพุทธด้วยความเชื่อในหลักธรรมที่เป็นความจริงหลายๆ ประการของศาสนานี้ แต่อาจจะย่อหย่อนในการปฏิบัติ

ผู้เขียนเป็นพุทธศาสนิกชนที่นับถือศาสนาพุทธด้วยความเชื่อในหลักธรรมที่เป็นความจริงหลายๆ ประการของศาสนานี้ แต่อาจจะย่อหย่อนในการปฏิบัติ เช่น ถือศีลได้ไม่ครบทุกข้อ หรือไม่ค่อยชอบทำบุญและเข้าวัด อันเป็นผลมาจากชีวิตประจำวันที่ไปกันไม่ได้กับระบบศาสนาในบางเรื่อง และความอึดอัดหงุดหงิดต่อจริยะของ “สงฆ์” ผู้สืบทอดศาสนาในหลายๆ เรื่อง

“จริยะ” แปลว่า “ความประพฤติที่ดีงาม” ซึ่งในแต่ละศาสนาก็กำหนด “กรอบและกิจ” ที่เป็นจริยะนั้นไว้อย่างเคร่งครัด โดยในศาสนาพุทธเราเรียกว่า “พระวินัย” ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของคัมภีร์หลักที่สำคัญของศาสนาพุทธในชื่อว่า “พระไตรปิฎก” อันประกอบด้วย พระวินัยปิฎก (ข้อควบคุมความประพฤติ) พระสุทันตปิฎก (คำสอนและเรื่องราวของพระพุทธเจ้า เรียกย่อๆ ว่า พระสูตร) และพระอภิธรรมปิฎก (ปรัชญาและความรู้ชั้นสูงเพื่อการหลุดพ้นที่เรียกว่า “พระนิพพาน”)

พระพุทธเจ้าท่านเรียงลำดับโดยเอา “พระวินัย” ขึ้นก่อนก็ด้วยพระวินัยนี้จะนำไปสู่ความสำเร็จในขั้นต่อๆ ไป โดยใช้“ศีล” หรือข้อห้ามทั้งหลายที่สำหรับพระสงฆ์นั้นกำหนดไว้ 227 ข้อ ที่กำหนดพฤติกรรมต่างๆ ไว้อย่างละเอียดในทุกอากัปกิริยา ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน กระทั่งรอยยิ้มและสายตา หรือการเคี้ยวการกลืนอาหาร ซักผ้า เย็บผ้า ฯลฯ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการ “ควบคุม” ที่ตัวของผู้อยู่ในผ้าเหลืองนั้นเป็นสำคัญ ส่วนเรื่องภายนอก เช่น พาหนะ หรือเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตต่างๆ ไม่ได้พูดถึงมากนัก จะมีบ้างก็เรื่องที่อยู่อาศัย ก็กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าให้มีขนาดเพียงแค่อาศัยหลับนอน และต้องมีคนอุทิศให้หรือไม่ไปบุกรุกหรือรบกวนใครๆ

ผู้รู้บางท่านกล่าวว่าความไม่คงทนของศาสนาพุทธในอินเดียก็มีสาเหตุอย่างหนึ่ง (นอกจากการรุกรานของศาสนาอื่นแล้ว) มาจากการขาดแหล่งพักพิงที่เป็นอิสระของพระสงฆ์นั่นเอง เพราะต้องอาศัยแต่ในสถานที่ที่มีผู้บริจาคหรืออุปถัมภ์ อย่างเช่น พระเจ้าพิมพิสาร หรือเศรษฐีต่างๆ สร้างให้ ครั้นคนเหล่านี้สิ้นบุญหรือลูกหลานหมดบารมี (จนลง เสื่อมลง) ก็ขาดผู้ทะนุบำรุง สงฆ์ทั้งหลายก็แตกกระสานซ่านเซ็นไปอยู่ตามป่าเขา ขาดศูนย์กลางที่จะรวมตัวกันให้เข้มแข็ง ในที่สุดศาสนาพุทธก็ตกอยู่ในอันตรายและสลายไปเพราะไม่มีใครปกป้อง

ผู้เขียนเคยอ่านบทวิจารณ์ของฝรั่งที่กล่าวถึงศาสนาต่างๆ ในอินเดีย ว่าโดยเหตุที่มีเจ้าลัทธิมาก จึงต้องแข่งขันกันสร้างศรัทธาในลักษณะการสร้างลักษณะเด่น (อย่างที่ในสมัยนี้เรียกว่า “จุดต่าง” หรือ “จุดขาย”) เขาวิจารณ์ศาสนาพุทธว่าพระพุทธเจ้าอาจจะได้เห็นและรับรู้เกี่ยวกับลัทธินิกายต่างๆ มามาก (ระหว่างเวลา 6 ปีที่ได้ออกบวชเมื่ออายุ 29 และมาตรัสรู้เมื่ออายุ 35 ปี) จึงสร้างให้ลัทธิธรรมเนียมข้อปฏิบัติต่างๆ ขึ้นเป็นพิเศษ เช่น ความสมถะมักน้อยทั้งการกินอยู่และการแต่งกาย ความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่ลัทธิศาสนาอื่นไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ที่โดดเด่นก็คือความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน อันทำให้คนทั้งหลายเกิดความเลื่อมใส

ด้วยเหตุนี้พระวินัยจึงบัญญัติไว้อย่างละเอียดถึงข้อปฏิบัติต่างๆ โดยมีหลักการสำคัญที่จะไม่ให้พระสงฆ์ทำอะไร “เว่อร์ๆ” ที่มาจากภาษาฝรั่งว่า Over แต่ถ้าจะทำอะไรนั้นก็ต้องเว่อร์ไปอีกแบบหนึ่งคือ Lower หรือลดทอนความต้องการทั้งหลายให้น้อยลง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดให้พระสงฆ์นั้น “อยู่ง่าย กินง่าย” ไม่เบียดเบียนและเป็นแบบอย่างให้ผู้คนเลื่อมใส ดังนั้นน่าจะเป็นการผิดพระวินัยถ้าพระสงฆ์ทำอะไร “เกินไป” โดยไม่ต้องมาบอกว่าไม่ผิดเพราะพระวินัยไม่ได้บัญญัติไว้ หรือมาโยนความผิดให้แก่ญาติโยมว่าไม่รู้จักพิจารณาในการถวายของแก่พระ

ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งถึงการทำอะไรที่ “เกินไป” ของสงฆ์ คือการสร้างศาสนสถานทั้งหลาย เพราะถ้ายึดหลักการในพระวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว (ที่จริงเมื่อมีการสังคายนาภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วนั้นก็มีการเสริมเพิ่มมาโดยตลอด) พระจะสร้างโบสถ์ วิหาร เจดีย์ แม้กระทั่งกุฏินั้นไม่ได้ แต่ต้องมีผู้สร้างหรือถวายให้ และถ้าเป็นตามหลักการในพระวินัยแล้วก็ต้องไม่หรูหราอลังการหรือ “เว่อร์” เกินไป แต่นั่นแหละด้วยแรงศรัทธาและตัณหาของมนุษย์ บรรดากษัตริย์และเศรษฐีต่างๆ ครั้งพุทธกาลจึงแข่งกันสร้างอย่างวิลิศมาหรา แหกกฎมาตั้งแต่ต้น

อีกอย่างหนึ่งถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ การที่พระเที่ยวบุกไปในป่า ภูเขา ถ้ำ เกาะ แล้วสร้างขึ้นเป็นสำนักสงฆ์ต่างๆ นั้นก็ผิดพระวินัยโดยตรง ทุกแห่งจะอ้างว่าชาวบ้านเคารพศรัทธามาสร้างให้ แต่ถ้าสืบสาวไปแล้วบรรดาพระเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนักบุกเบิกและชอบสร้าง “รีสอร์ท” ทั้งสิ้น สถานที่อีกอย่างหนึ่งที่พระทั้งหลายชอบมากก็คือวัดร้างหรือโบราณสถานต่างๆ โดยอ้างว่ามีชาวบ้านนิมนต์มาให้ฟื้นฟู หรือมี “นิมิต” ญาณวิเศษดลบันดาลให้มากอบกู้ ซึ่งผู้ที่ปวดหัวที่สุดคือหน่วยราชการที่ดูแลสถานที่เหล่านี้ เพราะไล่ก็ไม่ไป แถมยังเอาชาวบ้านมาร่วมต้าน สำนักสงฆ์บางแห่งเส้นใหญ่มีผู้มีอิทธิพลหรือเศรษฐีหนุนหลัง(ให้ทุน) ก็ต้องเอวังแพ้คนพวกนี้ทุกทีไป

เรื่องของ “วัดของผู้มีอิทธิพล” นี้ก็เป็นวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมไทย เพราะวัดได้ถูกใช้เป็นเครื่อง “สร้าง” หรือ “โชว์” บารมีมาตั้งแต่โบราณ ทั้งนี้ก็เป็นด้วยสังคมไทยเป็นสังคมที่เน้น “หน้าตา” กษัตริย์ ขุนนาง และเศรษฐีทั้งหลายจึงมีวัดเป็นตัวชี้วัดหน้าตานั้นด้วยส่วนหนึ่ง สำหรับพระมหากษัตริย์อาจจะมีเหตุผลในการสร้างนอกเหนือจากที่ต้องการจะทำนุบำรุงพระศาสนาแล้ว อาจจะสร้างขึ้นเพื่อแสดงอารยธรรม ได้แก่ ศิลปะและสถาปัตยกรรม ให้เป็นประจักษ์ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ รวมทั้งบำรุงขวัญในหมู่อาณาประชาราษฎร์ ส่วนของขุนนางและเศรษฐีทั้งหลาย แม้จะมีข้อห้ามมิให้เลียนแบบที่อาจจะเป็นการเทียบเทียมพระราชฐานะ แต่ก็มีการสร้างวัดส่วนตัวอยู่มาก เพียงแต่หลีกเลี่ยงไม่ให้ “เทียมเจ้าเทียมนาย”

ยุคนี้ข้อจำกัดว่าด้วยการทำตัวเทียมเจ้าเทียมนายไม่มีใครที่เกรงกลัวต่อไปแล้ว วัดวาอารามและสำนักสงฆ์ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ด (ที่งอกขึ้นมาได้ง่ายๆ แม้กระทั่งสนามหญ้าหน้าทำเนียบ) ข้าราชการผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในฝ่ายทหารนั้นก็นิยมสร้างบารมีด้วยการส่งเสริมกิจกรรมด้านความยิ่งใหญ่ทางวัตถุของศาสนานี้เป็นปกติ รวมทั้งนักการเมืองที่ต้องการเบ่งบารมีไปในแนวที่ว่าตนเองเป็น “คนดี” ก็พากันออกมาสร้างวัตถุและสถานที่ต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการเนื้อนาบุญนี้กันเป็นที่เอิกเกริก ทั้งยังได้อาศัยเป็นตัวชี้วัดด้วยว่าใครบ้างที่ยังจงรักภักดีต่อตนหรือกลุ่มทุนใดบ้างที่ยังนับถือตนเองอยู่ เผื่อว่าเมื่อตนได้มีอำนาจวาสนาในทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งแล้ว จะได้ช่วยเหลือและอุ้มชูกันต่อไป

บางคนที่อิจฉาข้าราชการผู้ใหญ่และนักการเมืองใหญ่ๆ เหล่านี้ ก็มีเหตุผลที่อธิบายไปอีกแนวหนึ่งว่าบางทีการสร้างวัดหรือวัตถุทางศาสนาต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมกฐินผ้าป่าทั้งหลาย อาจจะเป็นการล้างบาปหรือสะเดาะเคราะห์ของข้าราชการและนักการเมืองเหล่านั้นก็ได้ ทำนองว่ายิ่งบาปมากก็ยิ่งต้องทำบุญหรือสร้างกุศลมากๆ ส่วนคนไทยจำนวนไม่น้อยก็ชอบที่จะทำบุญร่วมกับคนเหล่านี้ ทำนองว่าบุญใหญ่ต้องทำร่วมกับคนใหญ่ๆ ชาติหน้าจะได้อาศัยใบบุญหรือเกิดมาร่วมชาติและได้ร่วมความยิ่งใหญ่นั้นไปด้วย โดยหารู้ไม่ว่าเขาอาจจะล้างบาปมาลงที่ตัวเราก็ได้

การที่จะรักษาให้ศาสนาพุทธมีความยั่งยืนคงทนบนศรัทธาของผู้คนนั้นเป็นสิ่งท้าทายพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล โดยหลักการสำคัญน่าจะอยู่ที่การที่ชาวบ้านต้อง “ร่วมรู้ ร่วมสร้าง ร่วมรักษา” มาตั้งแต่ต้น และสงฆ์นั้นก็ต้องประพฤติตัวให้เป็นที่เลื่อมใส อยู่ในวัตรปฏิบัติที่ดีงาม ทั้งยังต้องร่วมกับชุมชนสร้างประโยชน์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย ศาสนานั้นไม่ใช่เครื่องประดับหรือใช้ประกวดอำนาจวาสนาของใคร แต่เป็นเครื่องพัฒนาจิตใจให้สูงส่งและดีงาม

ใครที่ชอบทำบุญเอาหน้านั้นแหละคือพวกทำลายศาสนา

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1