posttoday

โฆษกเชิงรุก ไม่ใช่องครักษ์พิทัก 'มาร์ค'

23 มิถุนายน 2556

เข้าสู่ช่วงปรับเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญในชีวิต แม้จะเคยผ่านงานพูดมาอย่างโชกโชน ทั้งงานดีเจ พิธีกร ไปจนถึงขึ้นเวทีปราศรัย แต่กับบทบาทใหม่อย่าง “โฆษกผู้นำฝ่ายค้าน”

เข้าสู่ช่วงปรับเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญในชีวิต แม้จะเคยผ่านงานพูดมาอย่างโชกโชน ทั้งงานดีเจ พิธีกร ไปจนถึงขึ้นเวทีปราศรัย แต่กับบทบาทใหม่อย่าง “โฆษกผู้นำฝ่ายค้าน” ธีมะ บอกว่า ยังต้องเรียนรู้อีกมาก

“คงจะต้องแถลงข่าวแทนท่าน (อภิสิทธิ์) ในบางประเด็น เพราะต้องยอมรับว่าคุณอภิสิทธิ์พูดเองทุกประเด็นปัญหา บางทีประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เกินไป ถูกฝั่งตรงข้ามโจมตีเรื่องเดิมๆ ทั้งฆาตกร ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล การเกณฑ์ทหาร ผมว่าประเด็นพวกนี้ท่านไม่ควรจะลงมาอะไรแล้ว

ต้องทำงานในนโยบายเชิงรุก ไม่ใช่วันๆ มานั่งแต่ค้านอย่างเดียว แม้ว่าเราจะไม่มีงบประมาณถืออยู่เหมือนฝ่ายบริหาร แต่ก็มีทางที่เราจะทำอะไรได้ หรือถ้ามีกระแสข่าวที่กระเด็นไปถูกหัวหน้า ก็จะมาช่วยคุณชวนนท์ (อินทรโกมาลย์สุต) แถลงข่าว เพราะโฆษกพรรคงานหนักพอสมควร ตอนนี้เป็น สส. งานก็ยิ่งหนัก”

โฆษกมือใหม่กล่าวถึงเป้าหมายในการทำหน้าที่ว่าจะไม่เน้นเรื่องการสาดโคลนกันไปสาดโคลนกันมา แต่จะเน้นนโยบายเชิงรุก คนส่วนใหญ่มองเข้ามาจะรู้สึกว่างานโฆษกมีแค่อย่างเดียวคือมีอะไรมากองข้างหน้าแล้วก็พูด แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ โฆษกเหมือนกับงานประชาสัมพันธ์องค์กร มันเหมือนกับงาน Customer Relationship Management การบริหารจัดการความสัมพันธ์ของลูกค้า

เรามีวิธีคิดที่จะขยายแนวความคิดทางการเมืองได้อีกหลายช่องทาง ไม่ใช่แค่พูด แถลงข่าว ยังมีอะไรให้ทำอย่างอื่นอีกเยอะมาก โดยเฉพาะสมัยนี้ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม สื่อออนไลน์ มีบทบาท การเป็นโฆษกเราต้องหยิบจับทุกอุปกรณ์การสื่อสารมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์งานของตัวผู้นำฝ่ายค้านให้ได้

ธีมะ กล่าวอีกว่า ต้องพยายามลองทำดูว่าจะทำได้หรือเปล่า ตอนนี้เป็นแค่เพียงช่วงเริ่มต้น พอเข้าไปนั่งแถลงครั้งแรก คงได้เห็นแนวทางข่าวว่าสื่อนั้นสื่อนี้ลงอย่างไร เราอาจจะได้เห็นเพิ่มขึ้นระหว่างทาง เหมือนตอนนี้ยังนั่งจินตนาการอย่างเดียว ยังจินตนาการไม่ออก ต้องลองทำดู ผลสัมฤทธิ์ของการทำตรงนั้นเป็นอย่างไร ค่อยๆ ปรับปรุงกันไป

ส่วนกรณีที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยพาดพิงมายังผู้นำฝ่ายค้าน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่โฆษกจะต้องไปตอบโต้ชี้แจง แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะตั้งธงโฆษกเป็นองครักษ์พิทักษ์ คอยแต่จะจ้องว่าวันนี้มีใครด่าหัวหน้าบ้าง นั่นไม่ใช่แก่นแกน ถ้าอันนี้เป็นแก่นแกน คนจะเบื่อ ตอนนี้คนเบื่อกับการด่าไปไม่มีจุดจบ บางทีต้องเซ็ตจุดจบให้ได้

การแถลงข่าวตอบโต้ ก็ตอบโต้แบบดีๆ ไม่ใช่ตอบโต้เสร็จแล้วด่ากลับ ให้เขากลับมาด่าเราอีกครั้ง แต่ต้องลองดู ไม่รู้จะเป็นอย่างไร ต้องตั้งหลักตัวเองไว้ก่อน หากเขาตั้งคำถามกลับมา เราก็หาคำตอบไปแถลง แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่า อันนี้คิดแบบเด็กน้อย อนุบาลทางการเมืองซึ่งเริ่มเข้ามา มันต้องชื่นชมให้กำลังใจฝ่ายตรงข้ามบ้าง บางอย่างเหมือนเช่นการจำนำข้าว สมมติเรายื่นข้อเสนอ แก้ไขอย่างไรบ้างแล้ว เขาเดินตามแนวทางแก้ไข เราก็แค่ออกมาชื่นชมแนวทางการทำงานของรัฐบาล ที่อย่างน้อยก็ฟังและลดทอนอีโก้ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเรายื่นข้อเสนอให้เขาแก้แบบนี้ พอเขาแก้แล้วเราก็หาเรื่องด่าเขาต่อ แต่ก็ไม่รู้จะได้หรือเปล่า

แม้จะผ่านงานด้านการพูดมาไม่น้อย แต่ “ธีมะ” มองว่างานใหม่ที่ได้รับเป็นงานหนักที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เพราะการเข้ามาสู่การเป็นโฆษกการเมือง ต่างจากการเป็นพิธีกร แม้เบื้องหน้าคนมองเข้ามาเหมือนกัน ออกมาพูดเรื่องการเมือง แต่ไส้ใน ข้างใน ต่างกันมาก เนื้อหาที่เราจะพูดก็ไปคนละโทน จัดรายการก็ต้องพูดอย่าง แถลงข่าวพูดอย่าง ขึ้นเวทีพูดอย่าง

“เวลาขึ้นเวทีผ่าความจริง รูปแบบมันจะต้องปลุก ต้องมีท่อนฮุก ท่อนเอ ท่อนบี แล้วต้องมีท่อนฮุก เสร็จแล้วต้องลงจบฮุก ห้ามจบฮุกนาน ต้องมีฮุกใหม่อีกแล้ว เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ต้องเอาออก ลิสต์ประเด็นใหม่ ไม่ได้หมายความว่าบิดเบือน แต่เราต้องมีวิธีจัดคอนเทนต์ใหม่ให้ต่อกันแล้วรู้สึกว่า โอ้โห คนมีอารมณ์ร่วมไปกับเราได้”

ขณะที่การทำหน้าที่ในบทบาทของพิธีกรรายการฟ้าทะลายโจร การจะหยิบเรื่องไหนขึ้นมาพูดก็ต้องอยู่บนหลักที่ หนึ่ง เป็นเรื่องข่าวร้อนของวันนั้น สอง มีรายละเอียดให้พูด สาม เรามั่นใจว่าเราพูดได้ทุกรายละเอียดของข่าวนั้น นี่คือสามองค์ประกอบหลักให้ข่าวใดข่าวหนึ่งเป็นข่าวหยิบขึ้นมาพูด แต่ว่าข่าวไหนก็ตามข่าวร้อน แต่รายละเอียดบางจุดเราบอด ยังหาคำตอบไม่ได้ บางทีก็จะจัดไว้หลังๆ แต่ไม่พูดได้เลยก็จะดี

การจัดรายการทางการเมือง เอามันอย่างเดียวไม่ได้ คนดูไม่ได้เอาสนุก เอาฮา เอาบันเทิง เขาดูเอาเนื้อหา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบให้ได้คือ ข้อมูลทุกอย่างต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้องเท่านั้น แต่เราต้องหาคำตอบให้ได้ในทุกประเด็นที่เราจะพูดออกอากาศ

“ผมเข้ามา ประชาธิปัตย์ให้โอกาสคน หนึ่งผมไม่มีเงิน สองธีมะ กาญจนไพริน นามสกุลผมโนบอดี้ ไม่ได้เป็นซัมวัน ไม่มีทุนรอน ไม่มีแบ็กอัพ ไม่มีอะไรเลย มาด้วยตัวเดี่ยวๆ คนเดียว พร้อมกับความสามารถอย่างเดียวที่มีคือความสามารถในการสื่อสาร ตอนนี้ก็ขอทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน”

จาก “คนบันเทิง” ที่ปรับบทบาทเป็น “คนการเมือง” ที่เลือกสวมเสื้อฟ้า เดินหน้าไปกับประชาธิปัตย์ ธีมะ มองว่า เขาเลือกยืนอยู่ถูกฝั่ง เพราะมั่นใจ เลื่อมใสบุคลากรของประชาธิปัตย์ เลื่อมใสวิธีการทำงาน เสียสละมาทำงานการเมือง การบริหารประเทศไม่ใช่จะเอาใครขึ้นมาบริหารประเทศเพื่อสืบทอดอำนาจของตัวเอง หรืออะไรอย่างไร มันคือการแบกรับภาระอันใหญ่หลวงทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “ทำงานช้า บริหารงานไม่เป็น” เลือดใหม่ประชาธิปัตย์คนนี้ยอมรับว่าจริงส่วนหนึ่ง ถ้าไม่มีมูลคงไม่มีใครสร้างวาทกรรมตรงนี้ขึ้นมาได้ แต่มองไปทางนั้นแบบเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ออกจะใจแคบไปหน่อย ภายในประชาธิปัตย์ก็รู้ตัวและพยายามก้าวออกจากจุดด้อยตรงนั้น แต่ไม่ได้หมายว่าเราจะก้าวพ้นในระยะเวลาเดือนสองเดือน เพราะเป็นสถาบันเก่าแก่ มีธรรมเนียมปฏิบัติที่ผูกเป็นเงื่อนตายหลายชั่วอายุคน เพราะฉะนั้นการจะปรับเปลี่ยนอะไรก็ต้องใช้เวลา เราก็ขอเวลาด้วย

ธีมะ ประเมินว่า พรรคยังมีจุดอ่อนเรื่องการสื่อสาร อย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ฉลาดในการนำเอาการตลาดมาจับการเมือง และทำก่อนประชาธิปัตย์เนิ่นนาน อีกองค์ประกอบที่ผ่านมาคือการเป็นรัฐบาลพรรค เดียวกับรัฐบาลพรรคผสมต่างกันมาก อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของคนที่เป็นนายกฯ รัฐบาลพรรคเดียวกับพรรคผสมก็ต่างกัน สิ่งที่มุ่งหวังของประชาธิปัตย์ตอนนี้คือชนะเลือกตั้งอย่างเดียวไม่พอ นั่นคือสิ่งที่ยากแล้ว ถ้าสมมติว่ายังไม่มีโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่เห็นทำอะไรเลย

ข่าวล่าสุด

KBANK ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เงินฝาก 0.05-0.10%