ความจรงิและความเชื่อ
ในชีวิตนักข่าว ช่วงเวลาของการตามทำข่าวคดี นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ คือช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของผม
ในชีวิตนักข่าว ช่วงเวลาของการตามทำข่าวคดี นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ คือช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของผม ไม่มีใครคาดคิดว่าร่วม 3 เดือนของการสืบสวนสอบสวน หาพยานหลักฐานอย่างรอบด้านที่สุด กระทั่งสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายแล้ว อีก 4 ปีให้หลังจะมีการนำคดีนี้ขึ้นมาสืบสวนสอบสวนใหม่อีกครั้งในฐานะคดีฆาตกรรม
ช่วง 3 เดือน ที่คณะพนักงานสอบสวนระดับตำนานยังไม่แถลงข้อสรุปคดี ทิศทางกระแสข่าวที่ออกมานั้น ไม่มีใครเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ นักการเมือง ทายาทกองมรดกมหาศาลจะฆ่าตัวตาย ข่าวที่ปรากฏผ่านสื่อจึงเต็มไปด้วยเงื่อนงำ บางรายไปไกลถึงขั้น เสธ.นายทหารมาเฟียบางคนจัดทีมสังหารพร้อมกลบเกลื่อนหลักฐานให้ดูเป็นการฆ่าตัวตาย
แต่ที่แน่ๆ ช่วงเวลาอันยาวนานของความคลุมเครือ ข้อสงสัยปรากฏออกมามากมาย พอๆ กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความล่าช้าของตำรวจ
3 เดือนผ่านไป กระทั่งวันแถลงข่าวสรุปผลคดี คณะพนักงานสอบสวนตอบทุกข้อสงสัยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ด้วยพยานหลักฐานทุกอย่างทั้งการสอบสวนพยานบุคคล และการตรวจสอบวัตถุพยาน และการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ผลสรุปคือ จากพยานหลักฐานทั้งหมด ชี้ไปในทางเดียวกันว่า นายห้างทอง ฆ่าตัวตาย
แม้หลายคนจะไม่เชื่อบทสรุปที่ว่า แต่ก็ไม่สามารถหาข้อมูลหลักฐานมาโต้แย้งความเห็นของพนักงานสอบสวนจวบจนผ่านไป 3 ปี ญาติอีกฝ่ายหนึ่งของนายห้างทองเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านดีเอ็นเอคราบเลือด ตรวจสอบภาพถ่ายสภาพศพนายห้างทอง และลงความเห็นว่า นายห้างทองถูกฆาตกรรม
ปริศนาคดีที่ผ่านมา 3 ปี รื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อกองปราบปรามและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์รับคดี มีการนำศพนายห้องทอง ซึ่งเก็บไว้ในโลงแช่แข็งมาผ่าพิสูจน์ซ้ำอีกครั้ง คดีที่รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ เป็นการหาพยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้ทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก และแน่นอน นายนพดล ธรรมวัฒนะ น้องชายนายห้างทอง ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาก็นำผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งในและนอกประเทศมาเป็นพยานหักล้างหลักฐานเช่นกัน
ศาลจึงแต่งตั้งคณะแพทย์ที่ไม่มีส่วนได้เสียกับคดีขึ้นมาตรวจสอบอีกชุด ผลการตรวจสอบออกมาตรงข้ามกับที่ตำรวจและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ใช้เป็นหลักฐาน
ถึงที่สุดแล้วศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาตรงกันคือ ยกฟ้อง เนื่องจากความเห็นทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงของผู้เชี่ยวชาญที่ต่างฝ่ายต่างนำมาเป็นพยานไม่สามารถนำสืบได้ว่า จำเลย มีความผิดตามฟ้อง
นายนพดล ผู้ต้องหาฟ้องกลับ พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ฐานเบิกความเท็จแต่ศาลยกฟ้อง
ในการแถลงสรุปคดีของคณะพนักงานสอบสวนชุดแรกเมื่อปี 2542 นั้น แม้จะลงความเห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายเอง แต่ก็แถลงเหตุผลต่อสังคมว่า หากภายใน 20 ปี พบพยานหลักฐานใหม่ที่ยืนยันได้ว่าเป็นการฆาตกรรมก็สามารถรื้อฟื้นคดีใหม่ได้
แต่หากรวบรัดสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งที่พยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ จนทำให้ศาลยกฟ้องก็ไม่สามารถนำคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้
พนักงานสอบสวนในขณะนั้นให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงในคดีเป็นอย่างมาก เมื่อสืบสวนสอบสวนจนสุดทางแล้ว ไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเป็นการฆาตกรรมก็จำเป็นต้องยอมรับ แม้จะค้านกับความเห็นของสังคม และถูกมองอย่างเคลือบแคลง
แต่ความจริงก็คือความจริง การฝืนความจริงนั้น รังแต่จะเกิดโทษ
คดีฆาตกรรม นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในขณะนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน กระแสสังคมก็ตั้งคำถามว่า ตำรวจสรุปสาเหตุฆาตกรรมรวบรัดเกินไปหรือไม่ ทั้งที่อาจมีความจริงด้านอื่นๆ นอกเหนือคำให้การของผู้ต้องหา ตำรวจได้ตรวจสอบ สืบสวนสอบสวน ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือไม่
แน่นอนว่าคดีนี้เกี่ยวพันกับการเมือง การสรุปเพื่อปัดให้พ้นจากประเด็นการเมืองก่อน ย่อมเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลซึ่งเข้าไปมีส่วนได้เสีย แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อสังคม ยิ่งความเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้น แต่ไม่มีโอกาสที่จะพบความกระจ่าง ย่อมเป็นผลเสียต่อกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะองค์กรตำรวจ ซึ่งเสมือนต้นธารกระบวนการยุติธรรม
ตำรวจนักสืบและพนักงานสอบสวนชั้นครูสมัยก่อนนั้น เขาไม่ทำเช่นนี้กัน
การสืบสวนนั้นต้องใช้จินตนาการ เพื่อเท่าทันความคิดของคนร้าย แต่จะถูกต้องหรือไม่นั้น ย่อมต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้และพยานหลักฐาน
แต่ความแตกต่างสำคัญคือ การรวบรวมพยานหลักฐานนั้น รอบด้าน รัดกุม รวมทั้งตรวจสอบแง่มุมอื่นๆ ครบถ้วนเพียงพอ แล้วหรือไม่
เพราะหากพบแต่สิ่งที่ตรงกัน หรือเข้ากันได้กับจินตนาการ แล้วพานคิดว่า จินตนาการเป็นความจริง ก็ย่อมไม่พบความจริง แม้ความจริงจะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเชื่อ แต่หากทุกความเป็นไปได้บ่งชี้มาที่จุดนี้ ความจริงย่อมเป็นความจริง


