จตุปาริสุทธิศีล
“นรชน ผู้มีปัญญา เป็นภิกขุ มีความเพียร มีปัญญา เครื่องบริหาร ตั้งตนไว้ในศีล แล้วทำสมาธิจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เธอจะพึงถางรกชัฎอันนี้เสียได้”
“นรชน ผู้มีปัญญา เป็นภิกขุ มีความเพียร มีปัญญา เครื่องบริหาร ตั้งตนไว้ในศีล แล้วทำสมาธิจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เธอจะพึงถางรกชัฎอันนี้เสียได้”
คาถาบทนี้ เป็นที่มาของคัมภีร์วิสุทธิมรรค แสดงให้เห็นความสำคัญของศีล ซึ่งนับเป็นพื้นฐานในการเจริญสมาธิและปัญญา เพื่อที่จะถางรกชัฎซึ่งเป็นชื่อของตัณหา วันนี้ MQ จึงขอนำเอาเรื่องราวของศีลโดยละเอียดมาคุยกัน ในเรื่องของ “ศีล” นั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า ศีล คือ เจตนางดเว้นจากความชั่ว ซึ่งการที่จะงดเว้นได้โดยสมบูรณ์แล้ว จะต้องใช้ความสำรวมเป็นมูลเหตุ เพราะผู้ที่ไม่สำรวมย่อมล่วงศีลได้ง่าย เรียกว่า ความไม่สำรวม เป็นภัยของศีล ดังนั้นการที่จะรักษาศีล เมื่อมีเจตนางดเว้นแล้วในการสมาทานตั้งใจ แต่ในการรักษาศีลให้ตลอดรอดฝั่ง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความบริสุทธิ์ของศีล ผู้ที่มีศีล คือ ผู้ที่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ คือ ไม่ล่วงละเมิดศีล การที่จะรักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีโดยรอบด้านนั้น ต้องอาศัยความสำรวมระวัง คือ ความบริสุทธิ์ 4 ประการ เรียกว่า “จตุปาริสุทธิศีล” อันประกอบด้วย
1) ปาติโมกข์สังวรศีล คือ ความสํารวมในพระปาติโมกข์
2) อินทรียสังวรศีล คือ ความสํารวมในอินทรีย์ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
3) อาชีวปาริสุทธิศีล คือ เลี้ยงชีพโดยทางชอบ
4) ปัจจยสันนิสสิตศีล คือ บริโภคปัจจัยด้วยการพิจารณา
ปาติโมกข์สังวรศีล เป็นการสำรวมในปาติโมกข์ การที่จะสังวรในปาติโมกข์ได้นั้น หมายถึงการไม่ล่วงละเมิดที่เกิดทางกายและวาจา ปาติโมกข์นั้น คือ สิกขาบททั้งหลาย มีพระวินัยเป็นต้น การที่จะรักษาปาติโมกขสังวรศีลได้นั้น ต้องมีการศึกษาสิกขาบททั้งหลายในพระพุทธศาสนา สำหรับพระภิกษุก็ คือ ศีล 227 สำหรับสามเณร คือ ศีล 10 ส่วนคฤหัสถ์ทั่วไป ศีลประจำ คือ ศีล 5 และศีลที่ควรถือเป็นพิเศษ ก็คือ ศีลอุโบสถ หรือศีล 8 นั่นเอง ผู้ที่จะรักษาศีลไม่ว่าจะอยู่ในเพศไหน จะรักษาได้ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนว่ารายละเอียดของศีลเหล่านั้นคืออะไร อย่างไรผิดศีล อย่างไรไม่ผิด เมื่อรู้แล้วก็ตั้งใจสมาทานรักษาศีล จะทำสิ่งไร พูดสิ่งใด ก็สำรวมระวังมีสติ มิให้ล่วงศีลที่ตนตั้งใจรักษา ถ้าจะให้ดีที่สุดแม้แต่จะทำให้ศีลด่างพร้อยก็ไม่ควร อย่างนี้จึงเรียกว่า สำรวมในปาติโมกข์
อินทรียสังวรศีล หมายถึง การสำรวมระวังในอินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ในทวารทั้ง 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ การสำรวมระวังนี้ คือ การคุ้มครองทวารนั่นเอง ทำอย่างไรจึงชื่อว่าคุ้มครองทวาร นั่นต้องทำความเข้าใจ การคุ้มครองทวาร ตามนัยแห่งสามัญญผลสูตร คือ “ภิกษุเมื่อเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต อนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่ไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำ นั้นชื่อว่า รักษาจักขุนทรีย์” เป็นดังนี้เช่นกันในทวารที่เหลือทั้ง 5 การสำรวมอินทรีย์จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นทางเพื่อมิให้กิเลสเกิดในชวนจิต จากการได้สัมผัสกับอารมณ์ภายนอก และแม้แต่อารมณ์ที่มาจากการนึกคิดของตนเองทางมโนทวาร ผู้ที่จะรักษาอินทรียสังวรศีลได้จึงต้องเจริญสติให้มั่น ต้องประกอบด้วยปัญญาเข้าใจสภาวธรรม จึงจะสามารถสำรวมอินทรีย์ได้ถูกต้องป้องกันมิให้กิเลสเกิดได้ สรุปคือ ต้องเจริญสติปัฏฐาน 4 ด้วยดีนั่นเอง
อาชีวปาริสุทธิศีล เป็นศีลที่เกิดในทางกายทวารและวจีทวาร คือ มีการกระทำทางกายและทางวาจาที่เป็นกุศลในการเลี้ยงชีพ ด้วยการไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทเพราะเหตุแห่งอาชีพ เช่น ภิกษุไม่พูดอวดอุตริมนุสสธรรม คือธรรมอันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ทั่วไป อันไม่มีจริงในตน ไม่พูดหลอกลวง เลาะเล็ม กระทำนิมิต การด่าแช่ง การแสดงหาลาภด้วยลาภ เพราะมีอาชีพเป็นเหตุ เป็นต้น
ซึ่งสำหรับคฤหัสถ์นั้นก็คือ การประกอบการงานต่างๆ ส่วนสำหรับนักบวช คือ ภิกษุ สามเณร ก็ได้แก่ การบิณฑบาต ซึ่งเป็นการเลี้ยงชีพชอบของพระ การได้มาซึ่งปัจจัยในการเลี้ยงชีพ มีอาหาร เป็นต้น หากได้มาโดยมิชอบ เช่น ได้มาเพราะการล่วงศีล มีการกล่าวมุสาวาท การลักขโมย การติดสินบน เป็นต้น ก็นับว่า ผิด คือ มีอาชีพไม่บริสุทธิ์แล้ว ดังนั้นผู้ที่รักษาศีลให้บริสุทธิ์พร้อมต้องสำรวมระวังในการเลี้ยงชีพด้วย
ปัจจยสันนิสิตศีล คือ ศีลที่เกิดเพราะอาศัยการพิจารณาการใช้สอยปัจจัยต่างๆ มีปัจจัย 4 เป็นต้น เพราะการบริโภคใช้สอยโดยไม่พิจารณาย่อมเกิดกิเลส คือ ความยินดีพอใจ ติดข้อง หรือเกิดความขุนเคืองก็ได้หากได้สิ่งที่ไม่ถูกใจ ดังนั้นการใช้สอยและการบริโภค โดยไม่พิจารณาย่อมเป็นอันตราย เพราะกิเลสจะเกิดได้ การพิจารณานั้นก็สามารถใช้หลักของ “การสันโดษในปัจจัย” ทั้งหลาย การบริโภคปัจจัยด้วยการพิจารณาว่า ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อความเมา ไม่ใช่เพื่อประดับตกแต่ง แต่เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่แห่งกายนี้ เพื่อความเป็นไปแห่งกายนี้ เพื่อระงับความเบียดเบียน เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ จักกำจัดเวทนาเก่าและไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น เพื่อความเป็นผู้ไม่มีโทษและความอยู่ผาสุก เป็นต้น
การรักษาจตุปาริสุทธิศีลนั้น แท้จริงแล้วต้องอาศัยทั้งสติและปัญญา ต้องระลึกได้และมีความเข้าใจที่ถูกต้อง อีกทั้งต้องใช้ศรัทธาและความเพียรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการประพฤติที่เป็นไปโดยต่อเนื่องตลอดเวลา และเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมของการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือบรรพชิต
ศีลนั้นเป็นพื้นฐานของความดีทั้งปวง แม้ผู้นั้นยังละกิเลสโดยเด็ดขาดไม่ได้แต่หากสำรวมระวังรักษาศีลด้วยดีแล้ว ก็สามารถป้องกันตัวผู้นั้นเอง มิให้ตกไปในทางที่ชั่ว และต้องไปรับวิบากกรรมอันไม่น่าปรารถนา มีการเกิดในอบายภูมิ 4 คือ นรก เปรต อสูรกาย และเดรัจฉาน อีกทั้งวิบากกรรมอันไม่น่าปรารถนาในปวัตติกาล คือ การได้รับทุกข์ ความเจ็บไข้ได้ป่วย การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ การประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ การไม่ได้สมปรารถนา หากพิจารณาถึงผลของศีลแล้ว ก็คุ้มกับการรักษาเพราะนอกจากจะป้องกันภัยจากอกุศลแล้ว ศีลยังเป็นกุศล นำมาซึ่งความสุข ทั้งในมนุษย์โลกและเทวโลก อีกทั้งยังความปรารถนาให้สำเร็จได้ ผู้ที่แม้ปรารถนาจะบรรลุธรรม ก็ต้องเริ่มต้นที่การรักษาศีล โดยเฉพาะจตุปาริสุทธิศีลที่กล่าวมานี้ ดังนั้นศีลจึงมีคุณอย่างยิ่งและเป็นคุณธรรมที่ควรรักษา
ผู้ที่สำรวมระวังรักษา จตุปาริสุทธิศีล จึงเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ ผู้ใดมีศีลสมบูรณ์ย่อมได้เสวยความสุขทางใจ อันธรรม คือ ความไม่เดือดร้อน ความปราโมทย์ ความอิ่มใจ และ ความสงบ ซึ่งมีศีลอันบริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน ย่อมเรียกได้ว่า สีลสมฺปนฺโน คือ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างแท้จริง และเป็นพื้นฐานในการเจริญสมาธิและวิปัสสนา เพื่อให้ได้ซึ่งการบรรลุมรรคผลนิพพานต่อไป...


