posttoday

พวกคุณฆ่าเขาทำไม?

16 มิถุนายน 2556

พ.ศ. 2504 ผู้เขียนพอเริ่มที่จะจำความได้ ข่าวดังๆ ที่ได้รู้ได้ฟังจากที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน นอกจากข่าวเรื่อง “ซีอุย” ฆาตกรฆ่าเด็กควักตับมากิน

พ.ศ. 2504 ผู้เขียนพอเริ่มที่จะจำความได้ ข่าวดังๆ ที่ได้รู้ได้ฟังจากที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน นอกจากข่าวเรื่อง “ซีอุย” ฆาตกรฆ่าเด็กควักตับมากิน และข่าว “สังหารนวลฉวี” พยาบาลขี้หึงที่ถูกฆ่าโดยสามีที่เป็นหมอแล้ว ก็คือข่าวเรื่อง “สังหารอดีตรัฐมนตรี 4 เสืออีสาน” ที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาออกมาในปลายปีนั้น

กระทั่ง พ.ศ. 2541 ในยุคที่พรรคไทยรักไทยครองเมือง พรรคไทยรักไทยได้ใช้เล่ห์ “เหลี่ยม” ต่างๆ ดูดพรรคเล็กพรรคน้อยเข้ามารวมเป็นพรรคไทยรักไทยด้วยกัน อันเป็นการเริ่มต้นของ “ยุคมืดทางการเมืองไทย” ภายหลังการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ที่กลุ่มการเมืองผู้กุมอำนาจรัฐต้องการจะสร้างเผด็จการขึ้นในระบบรัฐสภา ร่วมด้วยการมอมเมาประชาชนด้วยนโยบายประชานิยม พร้อมกับการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลและหัวคะแนนฝ่ายตรงข้ามภายใต้นโยบายปราบปรามยาเสพติด ทำให้นึกถึงยุคมืดทางการเมืองในสมัยก่อน ครั้งที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และลิ่วล้อกำลังครองเมือง นั่นก็คือ การ “สังหารรัฐมนตรี 4 เสืออีสาน” ดังกล่าว

ปีนั้น (2546) ผู้เขียนจึงเขียนบทความทางวิชาการสำหรับวารสารประจำปีของสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ขึ้นเรื่องหนึ่งชื่อว่า “ยุทธศาสตร์มืด : กรณีสังหารนักการเมืองในยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม” โดยอาศัยข้อมูลจากหนังสือชื่อ “เบื้องหลังสังหารอดีต 4 รัฐมนตรี” เขียนโดยนายหัด ดาวเรือง (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นน้องของนายจำลอง ดาวเรือง 1 ใน 4 รัฐมนตรีที่ถูกสังหาร) พิมพ์โดยโรงพิมพ์อักษรสาสน์ เมื่อ พ.ศ. 2508 โดยผู้เขียนไปขอยืมจากพ่อตาที่เป็นตำรวจ ซึ่งวันนั้นพ่อตายังพูดว่า “ตำรวจไทยนี้เหี้ยมจริงๆ”

นายหัด ดาวเรือง น่าจะต้องการเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อ “ประจาน” ความเลวร้ายของกลุ่มคนที่ฆ่าอดีตรัฐมนตรีทั้ง 4 รวมทั้งคนที่อยู่เบื้องหลังหรือบงการ และก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี เพราะในคำพิพากษาของศาลฎีกาที่นายหัดนำมาลงไว้อย่างละอียด ได้เปิดเผยทั้งรายชื่อของฆาตกร ผู้ร่วมกระทำผิด และผู้บงการหรือเกี่ยวข้องไว้ทั้งหมด โดยสืบสาวไปถึงมูลเหตุจูงใจหรือเหตุผลที่คนกลุ่มนี้ต้องฆ่า 4 อดีตรัฐมนตรีนั้นอย่างชัดเจน

การสังหารนี้แบ่งเป็น 2 ฉาก หรือ 2 คดี แต่มีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน คือ ความร้าวฉานระหว่าง จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับนายปรีดี พนมยงค์ ที่เคยร่วมเป็นร่วมตายและเป็นแกนนำของคณะราษฎรเข้าทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 แต่ต้องมาแตกแยกกันเพราะ จอมพล ป. เหลิงอำนาจ หลังจากที่ จอมพล ป. ขึ้นเป็นนายกฯ เสียเองใน พ.ศ. 2481 แต่ก็ถูกกลุ่ม “4 เสืออีสาน” อันประกอบด้วย นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ สส.อุบลฯ นายถวิล อุดล สส.ร้อยเอ็ด นายเตียง ศิริขันธ์ สส.สกลนคร และนายจำลอง ดาวเรือง สส.มหาสารคาม ทั้งหมดเป็นสายตรงของนายปรีดี เข้าขัดขวางในนโยบายหลายอย่าง โดยเฉพาะการไม่รับรองพระราชกำหนดสร้างนครบาลเพชรบูรณ์ (เพื่อย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่นั่นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2) ที่นักการเมืองกลุ่มนี้โจมตีรัฐบาลว่า “เกณฑ์ราษฎรไปตาย” รวมทั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด นักการเมืองกลุ่มนี้ยังแจ้งให้จับ จอมพล ป. ในข้อหาอาชญากรสงคราม แม้ว่าศาลจะยกฟ้องในที่สุด แต่ก็สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ จอมพล ป. เป็นอย่างยิ่ง (ศาลฎีกาเขียนคำพิพากษาในช่วงนี้ได้อารมณ์มากเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ของความขัดแย้งนี้จริงๆ)

ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2489 กลุ่มที่สนับสนุนนายปรีดีได้เป็นรัฐบาล (นายกรัฐมนตรีในช่วงนี้คนแรกก็คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์) สส.ทั้ง 4 คนนี้ก็ได้เป็นรัฐมนตรี แต่ต่อมาใน พ.ศ. 2490 จอมพลผิน ชุณหะวัณ ก็ยึดอำนาจ โดยให้นายควง อภัยวงศ์ ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามของนายปรีดีเป็นนายกฯ อยู่ 3 เดือน จากนั้นก็ไปเชิญ จอมพล ป. ให้มาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ระหว่างนี้ได้มีกบฏขึ้น นายปรีดีหนีไปได้ แต่อดีตรัฐมนตรีทั้ง 4 ถูกจับ นายทองอินทร์ นายถวิล และนายจำลอง ถูกยิงตายในระหว่างทางย้ายที่คุมขังในคืนวันที่ 3 มี.ค. 2492 บนถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 16 (เลยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไปสัก 500 เมตร บริเวณเยื้องๆ กับโรงแรมมารวยในปัจจุบัน ที่สมัยก่อนมืดและเปลี่ยวมาก) ส่วนนายเตียงถูกปล่อยไปก่อนหน้านั้น

ต่อมาใน พ.ศ. 2495 นายเตียงได้เป็น สส.อีกครั้งและถูกจีบให้เข้ามาอยู่กับรัฐบาล ทว่าในวันที่ 12 ธ.ค.ปีนั้น ระหว่างกำลังประชุมกรรมการนิติบัญญัติกระทรวงการคลัง (ชื่อเดิมของคณะกรรมการธิการในยุคนั้น) นายเตียงก็ได้รับแจ้งว่า พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ (หลายท่านเชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลเหนือ จอมพล ป. แม้จะเป็นแค่อธิบดีตำรวจ) เรียกให้ไปพบ จากนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นหน้านายเตียงอีกเลย กระทั่งมีการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใน พ.ศ. 2502 โดยรัฐบาลของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ พล.ต.อ.เผ่า มานาน พร้อมกับคดีของอดีตรัฐมนตรี 3 คน ก่อนหน้านั้นที่มี ดร.ทองเปลว ชลภูมิ สส. กรุงเทพฯ และเป็นอดีตรัฐมนตรีในยุคเดียวกันอีกคนหนึ่งถูกลากไปยิงทิ้งพร้อมๆ กันใน พ.ศ. 2492 ก่อนหน้านั้นด้วย

ที่น่าสนใจ (และน่าสังเวชรวมทั้งน่าสมเพช) ก็คือ ผู้ร่วมกระทำความผิดในทั้งสองคดีนี้ล้วนแต่เป็น “ตำรวจ” ทั้งสิ้น แต่ละคดีมีตำรวจเกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 20 นาย ตั้งแต่ระดับรองผู้บัญชาการลงไปถึงพลตำรวจ แต่คนสำคัญๆ เช่น ผู้ควบคุมการฆ่าและผู้ลงมือยิง หนีไปต่างประเทศ (และทราบว่ายังไม่มีใครกลับมาเลย ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะชราหรือเจ็บป่วยถึงแก่กรรม ณ ต่างประเทศนั้นไปหมดแล้ว) อย่างไรก็ตามในการตัดสินของศาลก็ค่อนข้างให้ความเป็นธรรม คือ ตำรวจที่ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจะได้รับโทษน้อยหรือเว้นโทษให้ จะมีแต่ร้อยตำรวจเอกคนหนึ่งที่เป็นคนใช้เชือกรัดคอนายเตียงกับพวกอีก 4 คน ก่อนนำไปเผาทำลายหลักฐานที่กาญจนบุรี เป็นเพียงคนเดียวที่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต

ในคำพิพากษาของศาลที่นายหัดผู้เขียนนำมาลงอ้างอิงให้รายละเอียดของทั้งสองเหตุการณ์ค่อนข้างชัดเจนมาก อ่านแล้วมองเห็นภาพเป็นเรื่องเป็นราวมีชีวิตชีวาเหมือนกำลังชมเหตุการณ์นั้นสดๆ อย่างฉากที่ตำรวจอำพรางว่าโจรมลายูมาล้อมยิงในการสังหารข้างถนนพหลโยธิน ก็เขียนว่า “ในที่เกิดเหตุนายร้อยตำรวจเอกพุฒกับนายร้อยตำรวจโทบุญสมได้ร่วมกันเอาปลอกกระสุนกับก้นบุหรี่ให้ตำรวจเอาไปโรยไว้ที่โคนไม้ข้างทาง แล้วช่วยกันเดินย่ำบริเวณคูริมถนนที่มีน้ำขังเพื่อให้เห็นว่ามีคนคอยดักอยู่ เมื่อได้ใช้ปืนยิงต่อสู้กันแล้วจึงได้ลุยคูน้ำหนีไป” แต่ที่ผู้เขียนสะเทือนใจมากก็คือ คดีการฆ่าแล้วเผานายเตียงกับพวก ไม่เพียงแต่คนที่มาถูกฆ่ากับนายเตียงจะไม่รู้อีโหน่อีเหน่ (ได้แก่ คนขับรถของนายเตียง ที่ขับรถไปส่งนายเตียงไปยังบ้านที่ถูกรัดคอที่อยู่ห่างจากโรงพักพระโขนงเพียง 3 ช่วงเสาไฟฟ้า เพื่อนนายเตียง น้องชายเพื่อนคนนี้ และญาติห่างๆ อีกคนหนึ่ง ที่บังเอิญไปเที่ยวตามหานายเตียง จึงถูกลากไปฆ่ารัดคอด้วยที่บ้านหลังเดียวกัน) แต่เมื่อตำรวจเผาศพทั้ง 5 คนเสร็จแล้วก็ยังมาเลี้ยงฉลองกันและแจกเงินกันอีกด้วย

คดีนี้ศาลสรุปว่า คนบงการกระทำไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ทำเพื่อเอาใจนาย คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง เพื่อให้หวาดกลัว และเป็นการกระทำโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง โดยผู้ใช้และรักษากฎหมายนั้นนั่นเอง

คงไม่ต้องพูดถึงคดีที่นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ถูกคนขับรถและพวกร่วมกันฆ่า ที่ผู้ทำคดีและผู้มีอำนาจในรัฐบาลนี้พยายามที่จะทำให้จบให้ได้ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา เราอาจจะต้องรอให้มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจเพื่อให้ความจริงของคดีนี้ได้ปรากฏ อย่างคดีของ 4 รัฐมนตรีนั้น

และคดีนี้อาจจะทำให้มีคนที่ไม่มีแผ่นดินจะอยู่เพิ่มอีกหลายคน!

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ กังวลเงินทุนด้านเอไอกดดันหุ้นเทคโนโลยี