posttoday

ย้อนวีรกรรมเอกยุทธ"200ล้านก่อกบฎ9กันยาฯ"

12 มิถุนายน 2556

ย้อนรอยวีรกรรม "เอกยุทธ" จากมุมอง "เถกิง สมทรัพย์" อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทยกับการสนับสนุนเงินร่วม 200 ล้านบาท ก่อกบฎ 9 กันยาฯ

ย้อนรอยวีรกรรม "เอกยุทธ" จากมุมอง "เถกิง สมทรัพย์" อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทยกับการสนับสนุนเงินร่วม 200 ล้านบาท ก่อกบฎ 9 กันยาฯ

ตลอด 4-5 ปี ที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มนักธุรกิจ-เซียนหุ้นว่าโรงแรมโฟร์ซีซันคือถิ่นของ เอกยุทธ อัญชันบุตร กระทั่งประเด็นฉาวสะเทือนการเมือง “ว.5 โฟร์ซีซัน” เกิดขึ้น สาธารณชนทั่วไปจึงรู้จักเขายิ่งขึ้น

นาทีนี้ ชัดเจนแล้วว่า “เอกยุทธ” ถูกอุ้มฆ่าอย่างอุกอาจ ทว่าก่อนหน้านี้เอกยุทธก็หนีตายมาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนเงินร่วม 200 ล้านบาท ก่อกบฎ 9 กันยาฯ

เถกิง สมทรัพย์ อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย ได้โพสต์เฟซบุกส์ ถึงวีรกรรมของ “เอกยุทธ” อย่างเข้มข้น

เกือบจะ 10 ปีแล้วที่ผมกับคุณอัญชะลี ไพรีรักษ์ เดินทางไปลอนดอนเพื่อสัมภาษณ์เอกยุทธ อัญชันบุตร...และเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่งในช่วงนั้น...เมื่อข่าวคราวของผู้ชายคนนี้กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งโดยไม่รู้เป็นรู้ตาย..ผมลองค้นบทความที่เคยเขียนไว้และได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ในสมัยโน้น...ย้อนอดีตเอามาให้อ่านกันถึงชีวิตโลดโผนของผู้ชายคนนี้...(อ่านกันสนุกๆนะครับ)

The Lounge ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นในมหานครลอนดอนได้รับการยกย่องว่าเป็นห้องน้ำชาที่เลิศหรูที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร

เอกยุทธ อัญชันบุตร นัดเราสองคนที่นี่ 3 วันซ้อนเพื่อเปิดอกพูดคุยถึงเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นปริศนามานานกว่า 20 ปี....

ชาเขียวเพื่อสุขภาพที่ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มมานานนับพันปี ชาดาร์จีลิ่งอันเลื่องลือจากอินเดีย และชาผลไม้ของอังกฤษ ถูกนำมาเสริฟพร้อมกับคุ๊กกี้จานโต ท่ามกลางเสียงเปียโนและเสียงสนทนาเบาๆจากอาคันตุกะนานาชาติที่มาเยือนลอนดอน

และในบรรยากาศหรูหราน่ารื่นรมย์นั้น เราเริ่มต้นการค้นหาความลับจาก “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ด้วยเรื่อง “กบฎ 9 กันยาฯ “ ….

ย้อนกลับไปเมื่อ 19 ปีที่แล้ว..... 03.00 น.ของวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 รถถังจำนวน 22 คันจาก ม. พัน. 4 รอ. พร้อมด้วยกำลังทหารจำนวนกว่า 400 คน ได้เคลื่อนออกจากที่ตั้งเข้าปฏิบัติการรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งในเวลานั้นเดินทางไปราชการที่ประเทศอินโดนีเซีย

06.00 น. ปฏิบัติการยึดเมืองรุกไล่อย่างรวดเร็ว เข้าควบคุมอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า อาคารกรมประชาสัมพันธ์ และ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พร้อมประกาศความสำเร็จของการรัฐประหารและอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติที่ระบุนาม “พล.อ.เสริม ณ นคร” อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

07.00- 09.00 น. การรัฐประหารกลับได้พบกับอุปสรรค เมื่อพล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผู้บัญชาการทหารบก รักษาการผู้บัญชาการทหารบก ( แทนพล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้นที่ติดราชการอยู่ที่ยุโรป) ได้ประสานงานกับพล.อ.เปรมและพล.อ.อาทิตย์ ก่อตั้งกองอำนวยการต่อต้านการรัฐประหารขึ้นที่กรมทหารราบที่ 11 รอ. บางเขน พร้อมกับติดต่อระบบส่งกระจายเสียงออกตอบโต้ฝ่ายยึดอำนาจด้วยการออกแถลงการณ์ในนามของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก

ทั้ง 2 ฝ่ายตอบโต้กันด้วยสงครามจิตวิทยามวลชน ต่างฝ่ายต่างประกาศว่าฝ่ายของตนคือผู้กุมอำนาจรัฐ จนเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. ฝ่ายต่อต้านการรัฐประหารได้สั่งกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. ประกอบด้วยรถยีเอ็มซีและรถสิงห์ทะเลทรายพร้อมอาวุธเคลื่อนไปตามถนนพหลโยธินเข้ายึดสถานที่สำคัญต่างๆเอาไว้ แต่หลังจากนั้นไม่นานประมาณ 09.50 น. รถถังของฝ่ายรัฐประหารที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าได้เคลื่อนเข้าระดมยิงเสาอากาศและตัวอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนเอ็ม 60 เข้าไปยังกรมประมวลข่าวกลาง ที่ตั้งอยู่ในวังปารุสก์ฯ ผลที่เกิดขึ้นก็คือทำให้นายนีล เดวิส ผู้สื่อข่าวต่างประเทศชาวออสเตรเลียน และนายบิล แรตช์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันของเครือข่ายเอ็นบีซี ถูกลูกหลงเสียชีวิต

หลังจากนั้นกำลังทั้งสองฝ่ายได้เริ่มปะทะกันอย่างรุนแรงไปจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 15.00 น.การเจรจาเพื่อสงบศึกได้เริ่มขึ้นโดยมี พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ (ยศในเวลานั้น) เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาลเจรากับ พล.อ. ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แกนนำคนสำคัญฝ่ายรัฐประหาร ซึ่งลงเอยด้วยการที่ฝ่ายรัฐประหารยินยอมเลิกปฏิบัติการ

17.30 น. สถานการณ์ที่ตึงเครียดบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเริ่มคลี่คลายเข้าสู่ความสงบ กองกำลังทั้งสองฝ่ายถอนจากที่นั่นกลับสู่ที่ตั้ง

18.30 น. พล.ท. พิจิตร และ พล.ท. ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เดินทางไปยังสนามบินดอนเมืองเพื่อส่งตัวพันเอก มนูญ และ นาวาอากาศโท มนัส รูปขจร ผู้นำการรัฐประหารครั้งนี้ให้เดินทางออกนอกประเทศ....

ในคืนวันเดียวกันนั้นเอง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้กลับมายังเมืองไทยและเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จึงเป็นอันว่าวิกฤตการณ์การเมืองไทยในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ได้ยุติลง

คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร ภรรยาพล.อ.เสริม ณ นคร หัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อขาวในเวลาต่อมาว่า เหตุการณ์ที่สงบราบรื่นขึ้นมานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทราบเหตุการณ์โดยตลอด ทรงวิตกกังวลต่อสถานการณ์ ได้มีพระกระแสรับสั่งขอให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายยุติการต่อสู้และให้ตกลงกันโดยสันติ ทั้งสองฝ่ายก็สามารถทำความเข้าใจกันได้แล้วนำกำลังกลับเข้าสู่ที่ตั้ง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยุติลงโดยสิ้นเชิง ( ไทยรัฐ , 11 กันยายน พ.ศ. 2528 )

ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 10 กันยายน ประชาชนในกรุงเทพมหานครที่ติดตามข่าวสารมาตลอดทั้งวันที่ 9 กันยายน เพิ่งได้รู้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ว่านอกจากบรรดานายทหารของกองทัพแบ่งฝ่ายกันเล่นเกมยึดอำนาจกันเองแล้ว ยังมีพลเรือนจำนวนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ผู้นำแรงงานคนสำคัญๆอย่างนายสวัสดิ์ ลูกโดด นายอาหมัด ขามเทศทอง นายประทิน ธำรงจ้อย ฯลฯ

และชื่อที่ทำให้ประหลาดสุดขีดก็คือ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ผู้เพิ่งหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีแชร์ชาเตอร์ได้ปรากฏตัวขึ้นที่กองบัญชาการรัฐประหารในฐานะแกนนำคนสำคัญที่ถือบัญชาการผ่านวิทยุสื่อสารในนามของ "สิงห์ 1"

บุคคลที่ให้ข้อมูลกับหนังสือพิมพ์คือนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ( ขสมก.) ซึ่งถูกฝ่ายก่อการควบคุมตัวไว้

ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2528 ในกรอบข่าวสุดท้ายหน้าหนึ่ง พาดหัวว่า “ เอกยุทธ โผล่หน้า บก.ปฏิวัติ” ในเนื้อข่าวลงคำให้สัมภาษณ์ของนายพิเชษฐ์ ว่า ถูกผู้นำสหภาพแรงงาน ขสมก.โทรศัพท์มาเรียกให้ไปที่สำนักงานใหญ่ ขสมก.แล้วโดนควบคุมตัวไว้โดยแกนนำเหล่านั้นประกอบด้วยนายสมชาย ศรีสุนทรโวหาร นายอิสระ งามโรจน์ ประธานสหภาพ และนายสมพงษ์ สระกวี อดีตผู้นำนักศึกษา

นายพิเชษฐ์ได้กล่าวถึงนายเอกยุทธว่า ในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวไว้นั้นได้เห็นนายเอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้ามือแชร์ชาเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ตำรวจกำลังต้องการตัวไปปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มบุคคลระดับผู้นำของฝ่ายปฏิวัติที่เข้ายึด ขสมก. ด้วย โดยใช้วิทยุมือถือรหัส “สิงห์ 1 “ และนายเอกยุทธได้ฉากหนีไปเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ของฝ่ายปฏิวัติตกเป็นรอง

สยามรัฐ ฉบับวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2528 ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ของนายพิเชษฐ์ว่า ได้เห็นนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นั่งรถเบนซ์สีขาว ทะเบียน 7 จ.9539 กรุงเทพมหานคร สวมชุดซาฟารี สีกากีอ่อน มือมีวิทยุสั่งการและสั่งการโดยใช้โค้ดว่า “สิงห์ 1” ซึ่งนายเอกยุทธ ได้เข้าๆออกๆสำนักงานใหญ่ของ ขสมก.หลายหน จนกระทั่งเวลา 13.00 น. จึงได้ออกไปแล้วไม่กลับมาอีก

นายพิเชษฐ์ระบุเพิ่มเติมว่า ระหว่างที่อยู่ขสมก.นี่เอง นายเอกยุทธได้สั่งการถึงสารวัตรใหญ่ สน.พญาไท อ้างว่าทหารฝ่ายรัฐบาลได้บุกเข้าปล้นธนาคารแห่งหนึ่งในเขต สน.พญาไทและให้นำกำลังตำรวจออกมาเพื่อระงับเหตุด้วย แต่ตำรวจไม่ได้ปฏิบัติตาม ซึ่งการสั่งการของนายเอกยุทธครั้งนี้ได้อ้างว่าเป็นผู้นำของฝ่ายปฏิวัติด้วย

มติชน ฉบับวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2528 ได้ลงคำให้สัมภาษณ์นักข่าวของนายพิเชษฐ์เช่นเดียวกับสยามรัฐ แต่มีข้อมูลที่แตกต่างเกี่ยวกับสีของรถเบนซ์ว่า เป็นรุ่น 280 เอส สีตะกั่ว ส่วนายเอกยุทธสวมชุดซาฟารี สีกากีอ่อน สวมนาฬิกาอย่างดี ซึ่งนายเอกยุทธได้บอกนายพิเชษฐ์ว่า เขามั่นใจว่าการปฏิวัติจะสำเร็จอย่างแน่นอน ฝ่ายปฏิวัติได้ยึดสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ไว้เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จะออกแถลงการณ์ต่อประชาชน

ส่วน ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2528 ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากคำสัมภาษณ์ของนายพิเชษฐ์ว่า นายเอกยุทธได้นำทหารติดอาวุธ 4 นายเข้ามาในห้องทำงานของตน และบอกว่า พื้นที่ทางฝั่งธนบุรีนั้น พ.อ.พีรพงศ์ สรรพากพิสุทธิ หรือ เสธ.แฮงค์ ได้ควบคุมไว้เรียบร้อยแล้ว และนายเอกยุทธบอกว่าเขาได้ร่วมลงทุนด้วย...

“คุณเอกยุทธ ขนเงิน 200 ล้านบาทบินเข้าเมืองไทยไปสนับสนุนการรัฐประหารใช่ไหม...” เราเริ่มคำถามที่ยังคงเป็นปริศนาในใจของคนหลายคน

“ผมบินเข้าไปแต่ตัว เงินอยู่ในธนาคารที่เมืองไทย แต่ใช้ไปไม่ถึง 200 ล้านบาท...” เอกยุทธยอมรับว่าเขาคือผู้สนับสนุนคนหนึ่งของยุทธการยึดเมืองในครั้งนั้น พร้อมกับเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียดว่า...

เมื่อเขาพบกับวิกฤตการณ์แชร์ชาเตอร์และโดนตำรวจตามล่าตัว เขาจึงหลบออกนอกประเทศด้วยความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่คนหนึ่งส่งขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศเยอรมนีและไปพักอยู่กับเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก่อน ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาต้องหนีตายออกนอกประเทศ...

ในระหว่างที่อยู่ในเยอรมนีนั่นเอง มีผู้คนแวะเวียนมาเยี่ยมเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่มาเพื่อสอบถามว่าเงินแชร์ซ่อนไว้ที่ไหน แต่มีการประสานมาจากผู้นำกรรมกรจากเมืองไทยให้นายทหารคนดังแวะเยี่ยมเพราะอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์บ้านเมืองน่าเป็นห่วง อยากให้คนที่มีความคิดอ่านคล้ายๆกันมาเจอกัน

ในที่สุดเอกยุทธ อัญชันบุตร ก็ได้พูดคุยกับนายทหารคนดังและมีการประสานงานกันระหว่าง 2 แกนนำคนสำคัญของรัฐประหาร 9 กันยาฯ

คนหนึ่งมีกำลังพล คนหนึ่งมีกำลังทุน และมีความขัดแย้งกับคนเดียวกันคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ผู้เอาชนะ พ.อ.มนูญ รูปขจร ในเหตุการณ์กบฎ เมษาฯฮาวาย พ.ศ. 2524 และ เป็นผู้ทำลายแชร์ชาเตอร์ของ เอกยุทธ อัญชันบุตร จนพังพินาศไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ทั้งคู่จะพบกัน

การมองเห็นโอกาสที่จะกลับมาเมืองไทย ทำให้เอกยุทธตอบตกลงการเข้าร่วมกระทำรัฐประหารโดยไม่ลังเล

“กลุ่มพี่น้องกรรมกรทางเมืองไทยนั้น ถามผมมาว่าต้องการสนับสนุนเรื่องนี้ไหม ตอนนั้นอยากกลับเมืองไทยและอยากกลับมาสู้ความในศาลเรื่องชาเตอร์ ก็ตกลงและบินกลับเมืองไทยประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน 9 กันยายน..ผมกลับมาโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ขอความยุติธรรม ขอขึ้นศาล สู้ความ ที่ยอมเข้ามาเพราะอยากสู้ความแบบแฟร์ๆ ไม่ใช่สู้ความแบบที่มีอำนาจรัฐยืนคุมอยู่อีกด้านหนึ่ง ...ตอนนั้นผมคิดว่าเมื่อเข้ามาแล้วรัฐบาลชุดนั้นต้องไป ต้องเปลี่ยนแปลง แล้วผมจะได้ความยุติธรรมกลับคืนมา นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่เข้าร่วมการปฏิวัติ...”

เมื่อตกลงใจได้เช่นนั้นแล้ว เอกยุทธ อัญชันบุตร ก็แอบบินกลับมาเมืองไทยก่อนลงมือ 2 สัปดาห์ แต่เขายอมรับว่า การเข้ามาของเขาคงไม่หลุดรอดสายตาของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ไปได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็ให้คนไปรวบรวมมาจากผู้สนับสนุนเกือบๆ 200 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าจ่าย

“เงินทั้งหมดใส่ไว้ในท้ายรถเบนซ์ ทุกคนรู้กันดี…ตอนที่การยึดอำนาจล้มเหลว คนขับกับรถและเงินหายเข้ากลับเมฆไปเลย มีเงินอยู่ 4-5 ล้านบาท...ตอนหลังมาเขาบอกกับเราว่ารถกับเงินถูกยึด... ”

เอกยุทธปฏิเสธที่จะบอกรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีส่วนร่วมในครั้งนั้น แต่เขาบอกว่าเขานำกำลังทหารจำนวนหนึ่งออกมา ไปจับผู้ใหญ่มา 3 คน ในจำนวนนั้นมีนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล ผู้อำนวยการขสมก. อยู่ด้วย...

แต่เมื่อปฏิบัติเริ่มขึ้นไปถึงเวลาประมาณ 10.00 น. เอกยุทธก็รู้ว่าแพ้ รู้ว่าไม่รอดแล้ว

“...แต่ผมยังคิดที่จะสู้ต่อไปอีก ตอนนั้นอายุแค่ 25 ก็คิดแบบคนหนุ่มไงล่ะ ว่า วัดกันไปเลย ถ้าชนะก็ได้สู้ความ ผมก็สั่งให้ลูกน้องสู้ต่อ พวกนั้นเป็นทหารเด็กๆทั้งนั้น แต่ในที่สุดเราก็แพ้ แพ้เพราะพระบารมี แพ้แล้วเราก็กลับบ้านที่สุขุมวิท เข้านอนดูทีวีเห็นคนที่อยู่ร่วมในฝ่ายปฏิวัติ พอรู้ว่าแพ้ ก็ไปโผล่ที่กองบัญชาการต่อต้านการปฏิวัติของฝ่ายรัฐบาลทีละคนและเห็นที่เขาประกาศออกหมายจับผมทางทีวีทุกช่อง....ผมงงมากในตอนนั้น งงว่ากูจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตดีวะ...”

ท่ามกลางความวิกฤติภายหลังการรัฐประหารล้มเหลวและกำลังว้าวุ่นกับอนาคตของตัวเองอยู่นั้น เอกยุทธก็ได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่คนหนึ่งว่าให้ออกจากประเทศไปภายใน 10 ชั่วโมง รับรองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น....

“ ผมก็นอนคิดว่า กูจะไปที่ไหนวะ จะไปยังไง เงินที่เหลือในท้ายรถ 4-5 ล้านบาท ทหารก็ขับหนีไปเลย ตอนนั้นทุกคนรู้หมดว่ามีเงินในรถ เปิดแจกกันอยู่ท้ายรถ เห็นๆกันหมด คนขับเอาหนีไปเลย แล้วโทรมาบอกว่าโดนจี้ เรารู้แล้วว่า วาระมันมาถึงแล้ว เลยตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมาเลเซีย...เขาก็ส่งคนมารับ...”

เพื่อนที่ยิ่งใหญ่ของเอกยุทธเป็นใคร เขาขอเก็บไว้เป็นความลับ

“เพื่อนคนนี้ผมรู้จักเขาที่อังกฤษ ตอนที่ผมยังมีเงินมากๆ ผมบินไปซื้อรถแข่งที่อังกฤษและเยอรมนีบ่อยๆ ก็เลยรู้จักสนิทสนมกัน พอโทรไปหาเขาและบอกว่าเราเดือดร้อนเรื่องอะไร เขาส่งรถทูตมารับไปทันที โดยที่ทางรัฐบาลไทยก็รู้ พอเขาไปส่งเราที่มาเลเซีย เขาก็จัดการเรื่องการเดินทางเข้าเยอรมนีให้เลย...”

แล้วเอกยุทธ อัญชันบุตร ก็หนีตายออกนอกประเทศอีกครั้งหนึ่งภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน

"แล้วพ.อ.มนูญล่ะ"พวกเราถาม

“ตอนนั้นผมแยกกับเสธ.แล้ว ผมไปมาเลเซีย ท่านไปสิงคโปร์ ทราบมาว่าพี่เสือ (พล.อ.พิจิตร) ให้เงิน 1000 เหรียญฯ ส่งพี่นูญไปสิงคโปร์ ก้อ..ลีเซียนหลุง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้แหละที่ไปรับเสธ.นูญ...”

เอกยุทธยอมรับว่า เหตุการณ์หนีตายครั้งนั้นทำให้เขากลัวมาก

“ระหว่างทางจากบ้านไปสนามบิน ผมหวั่นไหวมาก รู้เลยว่าตอนนั้นอำนาจรัฐมันแรงมาก แตกต่างจากตอนที่ออกไปเมื่อครั้งแรก ตอนขึ้นเครื่องบินไปแล้ว ผมก็ยังกลัว รอจนประตูปิด บินขึ้นไปบนอากาศ ผมก็ยังกลัว จนบินไปครึ่งชั่วโมงถึงได้โล่งใจว่าปลอดภัย...ตอนนั้นกลัวมาก กลัวว่าเครื่องบินจะเลี้ยวกลับ ตราบใดที่ยังไม่พ้นน่านฟ้าไทย เคยมีประวัติศาสตร์มาแล้ว”

เขาบินหนีไปครั้งนั้นด้วยเที่ยวบินพิเศษของสายการบินต่างประเทศ

ครั้นไปถึงสนามบินที่กัวลาลัมเปอร์ เพื่อนก็มารับพร้อมกับเอกสารการเดินทางต่อไปยังเยอรมนี หลังจากนั้นชื่อของ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ก็หายสาบสูญไป เหลือเพียงบุรุษในนาม “จอร์จ ตัน” ที่ผาดโผนไปทั่วยุทธจักรการเงินโลกนานนับสิบปี

“ผมกลายเป็นคนใหม่ ไม่มีเอกยุทธ อัญชันบุตร อีกต่อไป แต่มี จอร์จ ตัน มาแทนที่ แล้วผมก็ไปเยอรมนี ในฐานะใหม่....พอกลับไปเพื่อนก็มารอรับแล้วเห็นอาการที่แย่มากๆของผม เขาก็ทักว่า “แพ้มาใช่ไหม”…เขาพาผมกลับที่พัก แวะเลี้ยงข้าวและปลอบใจว่าอย่าคิดอะไรมาก ไม่มีอะไรหรอก ที่นั่นไม่ใช่ประเทศของเรา อย่าไปอยู่มันเลย..”

เมื่อตั้งหลักได้เขาก็ทำเรื่องแจ้งไปยังสำนักงานผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ว่าขอลี้ภัยทางการเมืองในนามเอกยุทธ อัญชันบุตร ขอสิทธิคุ้มครองไม่ให้ถูกส่งตัวกลับ

เอกยุทธ ยกแก้วชาเขียวขึ้นจิบก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “ กลับไปเยอรมนีเที่ยวนี้ไม่เหมือนตอนแรกที่ตอนนั้นมีทั้งโทรศัพท์และคนแวะมาเยี่ยมมากมาย แต่ครั้งนี้เงียบกริบ ผมโทรไปหาใครที่เมืองไทยก็ไม่มีใครยอมรับโทรศัพท์ มีแต่คุณแม่ที่บินมาเยี่ยมผม...นั่นคือครั้งสุดท้ายที่อยู่เมืองไทย ผมตระเวนไปทั่วโลกนานถึง 10 ปีกว่าจะได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้งหนึ่งและเพิ่งได้กลับมาใช้ชื่อ เอกยุทธ อัญชันบุตร อีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง.....”

เอกยุทธ อัญชันบุตร หันหลังให้กับอดีตและก้าวเข้าสู่ยุทธจักรการเงินของโลกในนามของ จอร์จ ตัน สิบกว่า ปี จนสร้างความมั่งคั่งและมั่นคง

ในวัย 45 ปีเขากลับมาเขย่าวงการการเมืองไทยอีกครั้งด้วยการประกาศยุทธการ “ล้ม” ทักษิณ ชินวัตร ช่างเป็นชีวิตที่น่าตื่นเต้นเสี่ยนี่กระไร... (บทความนี้เขียนเมื่อ ปี 2547-2548 )

ข่าวล่าสุด

รองนายกฯ “เอกนิติ” มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568