หน้ากากดอกซ่อนกลิ่น
นานมาแล้วสัก 20 ปี เคยดูละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า “หน้ากากดอกซ่อนกลิ่น” นำแสดงโดย โอวรุฒ วรธรรม กับ แก้วอภิรดี ภวภูตานนท์
นานมาแล้วสัก 20 ปี เคยดูละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า “หน้ากากดอกซ่อนกลิ่น” นำแสดงโดย โอวรุฒ วรธรรม กับ แก้วอภิรดี ภวภูตานนท์ โดยมีนางร้ายเป็นดาราหน้าใหม่ชื่อว่า กิ๊กสุวัจนี ไชยมุสิก ซึ่งตอนนั้นออกอากาศทางช่อง 7 แต่ต่อมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ช่อง 3 ได้นำมาสร้างใหม่ให้ อั้มอธิชาติ ชุมนานนท์ และนุ่นศิรพันธ์ วัฒนจินดา เป็นพระเอกนางเอก โดยมี ธัญญาเรศ (ธัญญ่า) รามณรงค์ (ปัจจุบันใช้นามสกุลของ เป๊กสัณชัย เองตระกูล) เป็นนังตัวร้าย
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสแสร้งและชิงรักหักสวาท อย่างเนื้อเพลงตอนไตเติลเรื่องในท่อนแยกที่ว่า “หน้ากาก...ส่งกลิ่นหอมละมุน...ซ่อนไว้...ความไม่ดีบางอย่าง...” แต่สุดท้ายก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิง แบบว่า “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” คนที่คิดร้ายก็ต้องมีอันเป็นไป ส่วนพระเอกนางเอกก็ครองรักกันแบบ “มีความสุขสดชื่นตลอดไปตราบนิรันดร์”
ประดิษฐกรรมว่าด้วยหน้ากากนี้เป็นเรื่องของตะวันตก โดยแท้ ถ้าจะสืบสาวราวเรื่องไปก็น่าจะเริ่มที่อียิปต์ในยุคที่ สร้างพีระมิดเพื่อชีวิตอมตะ โดยพระศพของฟาโรห์จะถูกห่อหุ้มด้วยพิธีกรรมการทำมัมมี่ ที่ร่างภายนอกจะมีการทำเครื่อง แต่งพระศพประดับปกปิดไว้ โดยเฉพาะที่พระพักตร์จะมีหน้ากากซึ่งทำด้วยทองคำและประดับด้วยเพชรพลอยมีค่า เป็นที่ปรารถนาของบรรดานักขุดค้น(ขโมย)ที่ไม่ใช่นักโบราณคดีนั้น ยิ่งนัก ข้ามไปที่ทวีปอเมริกาในยุครุ่นราวคราวเดียวกัน การทำหน้ากากแต่งศพก็เป็นที่นิยมในหมู่อารยธรรมของชาวมายาหรือชาวแอสแต็ค ไม่เฉพาะแต่ระดับผู้นำ แต่ในระดับชาวบ้านก็มีการขุดค้นพบ
ตามมาด้วยวัฒนธรรมกรีกที่สืบทอดมาถึงโรมัน คือ เป็นเรื่องของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายที่มีหลายองค์ชอบลงมาวุ่นวายกับมนุษย์ หลายครั้งต้องอำพรางองค์เป็นร่างต่างๆ โดยมีหน้ากากสวมใส่ปิดบังใบหน้าไม่ให้ใครรู้ บ้างก็ว่าวัฒนธรรมนี้ถ่ายทอดไปถึงคนยุโรปเหนือ รวมทั้งพวกที่เรียกว่าอารยัน ซึ่งคนกลุ่มนี้ได้อพยพไปอยู่บริเวณทวีปอินเดียตอนเหนือและสถาปนาศาสนาสำคัญๆ ขึ้น ทั้งฮินดูพราหมณ์ และศาสนาพุทธ (พระพุทธเจ้าก็เป็นคนชาติอารยัน)
พวกฮินดูนั้นนับถือเทพเจ้าหลายองค์แบบกรีกและโรมัน ในพิธีกรรมและนาฏกรรมต่างๆ จึงมีการใช้หน้ากาก อย่างในเรื่องรามเกียรติ์ก็จะเป็นศีรษะใช้สวม ที่หลายประเทศรับมาอย่างไทยก็เอามาทำเป็นหัวโขน ส่วนศาสนาพุทธไม่มีรูปเคารพ (ในระยะแรกไม่มีการสร้างพระพุทธรูป แต่พวกกรีกที่เข้ามาถิ่นนี้ภายใต้การแผ่ขยายอำนาจของอเล็กซานเดอร์มหาราชได้นำเอาวัฒนธรรมในการแกะสลักรูปเทพเจ้าต่างๆ เข้ามา) อย่างดีก็มีแค่ตาลปัตรที่น่าจะเป็นวินัยสงฆ์เพื่อความสำรวมมากกว่า
ส่วนทางเอเชีย แหล่งอารยธรรมโบราณอย่างจีน ก็ปรากฏว่ามีการใช้หน้ากาก ว่ากันว่า พระศพของฮ่องเต้มักจะปิดพระพักตร์ไว้ด้วยหน้ากากทองคำ (ทำให้นึกถึงหนังไทยที่ไปหยิบยืมฉากนี้มาคือเรื่อง “สุริโยไท” ในฉากสวรรคตของพระเจ้าอาทิตยราชด้วยพระโรคฝีดาษพุพองเต็มใบหน้า ทั้งที่ประเพณีไทยจริงๆ ไม่มีพิธีกรรมอย่างนั้น) แต่ถ้าพิจารณาจากนาฏลักษณ์ เช่น การแสดงงิ้ว จะใช้วิธีการเขียนสีบนใบหน้า (ส่วนโชว์เปลี่ยนหน้ากากของจีนที่กำลังฮิตในเวลานี้น่าจะเกิดขึ้นภายหลัง) คล้ายกันกับละครคาบูกิหรือการแสดงที่เรียกว่าโนะของญี่ปุ่นที่ใช้การเขียนสีเป็นหลัก จะมีหน้ากากจริงๆ บ้างก็ในตัวละครบางตัวหรือในบางบท
การใส่หน้ากากที่เราพบมากอีกอย่างหนึ่งก็คือในเทศกาลที่เรียกว่า “คาร์นิวัล” ของฝรั่งที่มีการแห่แหนประกอบการเต้นรำไปตามท้องถนน และในงานปาร์ตี้หรูๆ ที่เรียกว่า “ราตรีสวมหน้ากาก” ซึ่งก็คงจะเป็นด้วยความนิยมในเรื่องการสวมหน้ากากที่มีมาแต่โบราณนั่นเอง ในตำราเกี่ยวกับวัฒนธรรมฝรั่งอธิบายว่า การใส่หน้ากากเกิดจากการสมมติตนของมนุษย์เป็นเทพเจ้าหรืออมนุษย์ รวมทั้งสิงสาราสัตว์ เพื่อการสรรเสริญหรือบวงสรวงหรือระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์เกิดขึ้น ในพิธีที่ระลึกถึงวันสำคัญหรือเหตุการณ์สำคัญ ทั้งที่เกี่ยวกับพระเยซู พระแม่มารี หรือพระสาวกที่เรียกว่าเซนต์ทั้งหลาย ก็นิยมมีขบวนแห่ที่สวมหน้ากากร่วมด้วย
ที่เล่าเรื่องวัฒนธรรมหน้ากากมาอย่างยืดยาวนี้ เพราะขณะนี้ได้มีการนำเรื่องการใส่หน้ากากมาใช้ในกิจกรรมทางการเมือง อย่างขบวนการหน้ากากขาวหรือหน้ากากวีที่กำลังฮิตอยู่ในประเทศไทย ซึ่งการใช้หน้ากากกับการรณรงค์ทางการเมืองก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตั้งแต่อดีตเมื่อมีความไม่พอใจผู้นำหรือนักการเมืองคนใด เราก็จะเห็นการทำหน้ากากที่ใบหน้าของคนคนนั้นมาสวมใส่ บางทีก็ใช้ในการแสดงละครล้อเลียน ในขณะที่หน้ากากขาวเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเผด็จการที่กลุ่มนี้เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” โดยประกาศว่าจะต่อสู้จนกว่าระบอบนี้จะ “สิ้นซาก” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างเอิกเกริก ทำเอารัฐบาลและคนรักทักษิณต้องออกมาเดือดร้อนโวยวาย
ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น การใช้หน้ากากน่าจะมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 3 ประการ คือ หนึ่ง เป็นการสร้างความลึกลับให้น่าสงสัย ซึ่งความลึกลับนี้เป็นพลังอำนาจแบบแรกๆ ในสังคมมนุษย์ อย่างที่มนุษย์พยายามจะอ้างอิงถึงอำนาจของเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงเอาหน้ากากในรูปของเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมาสวมใส่ สอง ใช้ปิดบังความเลวร้ายหรือ สิ่งอัปลักษณ์ที่อยู่หลังหน้ากาก อย่างหน้ากากปิดหน้าศพ หรือการใช้หน้ากากเพื่อเสริมความงาม หรือที่ละครยอดฮิตเรื่อง The Phantom of the Opera ใช้ปกปิดแผลที่น่าเกลียดน่ากลัวบนใบหน้าของตัวเอก และสาม ใช้เพื่อสื่อสารถึงรูปที่ปรากฏอยู่บนหน้ากาก รวมทั้งพฤติกรรมหรือลักษณะเด่นของตัวแบบผู้เป็นที่มาของหน้ากากนั้น เช่น ตัวละคร หรือบุคคล อย่างในขบวนคาร์นิวัล นาฏศิลป์ และการแสดงต่างๆ ที่รวมถึงการรณรงค์ทางการเมือง และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางการค้านั้นด้วย
สำนวนไทยที่กล่าวถึงหน้ากากที่ใช้กันมากก็เช่นคำว่า “สวมหน้ากากใส่กัน” ก็หมายถึงการเสแสร้ง ไม่จริงใจ บ้างก็ให้ความหมายไปว่า ไม่กล้าแสดงออกตรงๆ มีความอายหรือความกลัว จนต้องเอาหน้ากากมาซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้ อย่างที่ฝ่ายปกป้องระบอบทักษิณใช้ประณามกลุ่มหน้ากากขาว หาว่าพวกหน้ากากขาวคงไม่กล้าที่จะแสดงตัวตนจริงๆ คงเป็นแค่แฟชั่น หรือเลียนแบบฝรั่งเพื่อให้สื่อต่างประเทศมาทำข่าว เดี๋ยวก็เลิกไปเอง ไม่น่ากลัวอะไร
คนที่เรียนจิตวิทยามวลชนมาคงจะพอทราบถึง “พลังของการอำพราง” บางทีเราก็ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของปรากฏการณ์หรือการแสดงออกทางการเมือง และบางทีการแสดงออกในลักษณะหนึ่งอาจจะส่งผลไปอีกอย่างหนึ่ง หรือนำไปสู่ผลด้านอื่นๆ ตามมาได้อย่างหลากหลาย คนที่อ่านเรื่องสามก๊กมาบ้างก็คงพอจะเข้าใจกลยุทธ์ต่างๆ ที่บรรดายอดกุนซือต่างๆ นำมาใช้ โดยเฉพาะขงเบ้งที่นิยม “การอำพราง” หรือทำให้ไขว้เขวนี้เป็นพิเศษ
ในมุมมองของนักรัฐศาสตร์ “ปรากฏการณ์หน้ากากขาว” อาจจะดูเป็นการสร้างกระแสให้ฮือฮาชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้าปรากฏการณ์นี้นำไปสู่เหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจจะรุนแรงกว่านี้ตามมา เช่น ทำให้คนกล้าเกลียดทักษิณมากขึ้น ทำให้คนที่อยากให้ระบอบทักษิณนี้สิ้นซากมีความรู้สึกที่รุนแรงขึ้น แล้วนำไปสู่การแสดงออกในรูปแบบอื่น เป็นต้นว่า ลงคะแนนไม่ให้พรรคหรือพวกที่สนับสนุนระบอบทักษิณ (ถ้าจะมีการยุบสภา) หรือแม้กระทั่งปิดสนามบินไม่ให้คุณทักษิณกลับประเทศ (ถ้ากล้าดึงดันออกกฎหมายปรองดองหรือแก้รัฐธรรมนูญ) ประเทศไทยก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น
“รัฐบาลดอกซ่อนกลิ่น” คงจะต้องถูกกระชากลงมาในที่สุด


