ทองผาภูมิ ค้นฟื้นชีพเหมืองแร่-ตะกั่ว
เรื่องราวของชาวบ้านคลิตี้ล่าง ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัสมายาวนานหลายสิบปี จากการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสิ่งแวดล้อมและลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงคนในชุมชน ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของโรงแต่งแร่ บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) หรือโรงแต่งแร่คลิตี้ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดกากตะกอนตะกั่วนับหมื่นตันสะสมในลำห้วยเป็นระยะทาง 19 กิโลเมตร ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่โดยเฉพาะหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ไม่สามารถใช้น้ำในลำห้วยได้
เรื่องราวของชาวบ้านคลิตี้ล่าง ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัสมายาวนานหลายสิบปี จากการปนเปื้อนของสารตะกั่วในสิ่งแวดล้อมและลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงคนในชุมชน ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของโรงแต่งแร่ บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) หรือโรงแต่งแร่คลิตี้ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดกากตะกอนตะกั่วนับหมื่นตันสะสมในลำห้วยเป็นระยะทาง 19 กิโลเมตร ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่โดยเฉพาะหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ไม่สามารถใช้น้ำในลำห้วยได้
ขณะที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มาดำเนินโครงการ การศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์เบื้องต้น เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี แร่ตะกั่วสังกะสี บริเวณ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยอ้างว่าเป็นการศึกษาเพื่อเสนอทางเลือกในการบริหารจัดการทรัพยากรธรณีในพื้นที่ ซึ่งได้จัดสัมมนาเพื่อรับฟังความเห็นในพื้นที่ไปแล้ว 3 ครั้ง ท่ามกลางการต่อต้านและเสียงคัดค้านอย่างดุเดือดของชาว อ.ทองผาภูมิ
ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ นักวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์แร่และสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในโลก มีความต้องการใช้โลหะตะกั่วเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อผลิตแบตเตอรี่สำหรับการสำรองพลังงานไฟฟ้าเก็บไว้ใช้ หากถลุงโลหะตะกั่วเพื่อใช้เองจากแหล่งแร่ภายในประเทศ ก็จะเป็นการทดแทนการนำเข้าจากประเทศจีน สำหรับแหล่งแร่ตะกั่วสังกะสี ใน อ.ทองผาภูมิ ที่มีอยู่ราว 25 แหล่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่หวงห้ามของราชการ เช่น พื้นที่อุทยานแห่งชาติ พื้นที่วนอุทยาน เป็นต้น ทำให้มีต้นทุนในทางสิ่งแวดล้อมที่สูง ได้ถูกคัดกรองด้วยกฎเกณฑ์ของการใช้พื้นที่ของกรมทรัพยากรธรณี โดยแหล่งแร่ที่เหลืออยู่ราว 3 แหล่ง อยู่นอกเขตหวงห้ามดังกล่าว และบางพื้นที่เคยผ่านการทำเหมืองมาแล้วในอดีต โดยจะทำการศึกษาใน 3 พื้นที่ คือ แหล่งแร่สองท่อ แหล่งแร่บ่อใหญ่ และแหล่งแร่บ้านเกริงกระเวีย ซึ่งเป็นแหล่งแร่ปฐมภูมิแบบแหล่งแร่สะสมตัวในชั้นหินอุ้มแร่ สามารถผลิตสินแร่ตะกั่วได้โดยเฉลี่ยเท่ากับ 3.7 หมื่นตันต่อปี มีปริมาณแร่สำรองมากกว่า 8 ล้านตัน
ประเทศ บุญยงค์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ซึ่งเข้าร่วมสัมมนาทั้ง 3 ครั้ง กล่าวว่า สำหรับการสัมมนาที่ผ่านมาเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์เพียงด้านเดียว โดยระบุแต่เพียงว่า อ.ทองผาภูมิ เป็นแหล่งแร่ธรรมชาติที่มีศักยภาพสูง ควรนำออกมาใช้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น หากอนุญาตให้นายทุนเปิดทำเหมืองแร่ ก็เท่ากับว่ามีเพียงรัฐกับเอกชนผู้ได้รับสัมปทานเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ ซึ่งคนส่วนน้อยในชุมชนอาจได้ประโยชน์บ้างคือได้เข้าไปทำงานในเหมือง แต่ไม่คุ้มค่ากับผลเสียหรือผลกระทบในระยะยาวที่จะตามมา อย่างไรก็ตามจะต้องมีการวิเคราะห์รอบด้าน ซึ่งผู้มีอำนาจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเฉกเช่นเดียวกับเหมืองคลิตี้ ที่สำคัญการดำเนินการของกรมทรัพยากรธรณีในครั้งนี้เป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ปี 2544 ที่มีมติให้ยุติการทำกิจกรรมเหมืองแร่และโรงแต่งแร่อย่างเด็ดขาด ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้ยุติโครงการนี้
สุริยันต์ กาญจนศิลป์ รอง ผวจ.กาญจนบุรี บอกว่า ปัจจุบันทุกภาคส่วนหันมาให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ดังนั้นการที่จะเปิดให้มีการทำเหมืองแร่ตะกั่วและสังกะสีในพื้นที่ อ.ทองผาภูมิ จะต้องศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริงให้สมบูรณ์ครอบคลุมครบถ้วนในทุกๆ ด้าน เพราะมีบทเรียนจากคลิตี้ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาและปกป้องแต่อย่างใด ปัจจุบันมลพิษยังคงตกค้างอยู่ในพื้นที่ ขณะที่ทางจังหวัดได้กำหนดให้มีการจัดการพื้นที่ตอนเหนือ 4 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ทองผาภูมิ ไทรโยค สังขละบุรี และศรีสวัสดิ์ เป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อการอนุรักษ์ ดังนั้นการที่จะนำพื้นที่อนุรักษ์ไปใช้เพื่อการทำเหมืองเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก
ผลกระทบจากพิษตะกั่วที่ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเยียวยายาวนานมาถึง 25 ปี ขณะที่คดียังอยู่ในการพิจารณาของศาลมาเป็นระยะเวลา 9 ปีแล้ว และวันนี้ถึงเวลาแล้วหรือที่จะคืนชีพให้กับเหมืองแร่ตะกั่วเหล่านั้น


