สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งรัตนโกสินทร์ แต่ทรงดำรงตำแหน่ง 2 ครั้ง
ปี พ.ศ. 2556 เป็นปีมหามงคลที่ประเทศไทยจัดงานฉลอง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีพระชันษา 100 ปี
โดย...สมาน สุดโต
ปี พ.ศ. 2556 เป็นปีมหามงคลที่ประเทศไทยจัดงานฉลอง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีพระชันษา 100 ปี ประกอบกับทรงดำรงตำแหน่งยั่งยืน 24 ปี ไม่มีสมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์องค์ใดในอดีตที่ทรงดำรงตำแหน่งยืนนานขนาดนี้
คอลัมน์ สยามอัศจรรย์ จึงนำพระประวัติสมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระสังฆราชเจ้า แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 19 พระองค์ มาเสนอตั้งแต่วันนี้ (2 มิ.ย. 2556 )
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 1 นั้น มีพระประวัติชีวิตที่น่าตื่นเต้น เพราะเคยทรงดำรงตำแหน่งสูงส่งนี้ในสมัยพระเจ้ากรุงธนฯ แล้วถูกถอดให้เป็นพระอันดับ ถึงสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ จึงเป็นสมเด็จพระสังฆราช 2 ครั้ง แต่ต่างสมัยกัน
ท่านคือ สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ศรี)
วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร (พุทธศักราช 2325-2337)
พระประวัติในเบื้องต้นมีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
ทราบแต่เพียงว่า เดิมเป็นเพียง พระอาจารย์ศรี ทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดพนัญเชิง อ.กรุงเก่า จ.พระนครศรีอยุธยา
เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์
พระสงฆ์ถูกฆ่า วัดวาอาราม พระไตรปิฎก ถูกเผาทำลายวอดวายจนสิ้นเชิง
พระภิกษุสามเณรต่างก็พากันหลบภัยไปอยู่ตามวัดต่างๆ ในต่างจังหวัด
พระอาจารย์ศรีก็ได้หลบภัยสงครามไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองนครศรีธรรมราช ที่ซึ่งพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด
ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงยกทัพไปปราบก๊กเจ้านครซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ ที่เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้อาราธนาพระอาจารย์ศรี ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่
(ปัจจุบันคือ วัดระฆังโฆสิตาราม) เนื่องด้วยทรงคุ้นเคยและรู้จักเกียรติคุณมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในขณะนั้น พระอาจารย์ดี ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อน
แต่ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงทราบว่า พระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่นให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่ จึงโปรดให้ถอดออกจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระอาจารย์ศรี ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แทน ใน พ.ศ. 2312 นั้นเอง
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 2 แห่งกรุงธนบุรี
ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ครั้นถึง พ.ศ. 2324 อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ได้ถูกถอดจากตำแหน่ง เนื่องจากได้ถวายวิสัชนาแก้ปุจฉาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯ ร่วมกับพระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพน หรือวัดโพธิ์)
เรื่องพระสงฆ์ปุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล
เนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหีนเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่สูง
เพราะทรงผ้ากาสาวพัสตร์และจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ข้อวิสัชนาดังกล่าวนี้ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระองค์จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระสังฆราช ลงมาเป็นพระอนุจร (พระธรรมดา)
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ 2
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2325
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งดังเดิมให้แก่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
“ทรงพระราชดำริว่า ฝ่ายข้างอาณาจักรได้แต่งตั้งข้าราชการตามตำแหน่งเสร็จแล้ว ควรจะจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเสื่อมทรุดเศร้าหมองนั้นให้วัฒนารุ่งเรืองสืบไป จึงดำรัสให้สึกพระวันรัต (ทองอยู่) กับพระรัตนมุนี (แก้ว) ออกเป็นฆราวาส ดำรัสว่าเป็นคนอสัตย์ สอพลอ ทำให้เสียแผ่นดิน...ดำรัสให้
สมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม
ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ลงโทษถอดเสียจากพระราชาคณะ เพราะไม่ยอมถวายบังคมนั้น
โปรดให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเก่า ให้คืนไปอยู่ครองพระอารามตามเดิม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ดำรัสสรรเสริญว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคง
ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต
ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพสักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีไปภายหน้า จะให้ประชุมพระราชาคณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามว่าอย่างไรแล้ว พระราชาคณะอื่นๆ จะว่าอย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ซึ่งจะเชื่อถือฟังความตามพระราชาคณะอื่นๆ ที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้ ด้วยเห็นใจเสียครั้งนี้แล้ว”
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นกำลังสำคัญในการชำระและฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในครั้งรัชกาลที่ 1 เป็นอย่างมาก ทรงมีพระราชปุจฉาเกี่ยวกับการพระศาสนาด้านต่างๆ ไปยังสมเด็จพระสังฆราชมากกว่า 50 เรื่อง สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะ ก็ได้ถวายพระพรแก้พระราชปุจฉา เป็นที่ต้องตามพระราชประสงค์ทุกประการ ที่แสดงถึงพระราชศรัทธาเคารพนับถือต่อสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อทรงตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปปลูกเป็นกุฎีถวาย ณ วัดบางหว้าใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ตำหนักทองนี้ถูกไฟไหม้เสียเมื่อครั้งรัชกาลที่ 3
ในส่วนการรักษาพระธรรมวินัยให้มั่นคงนั้น สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการ นับแต่ทรงเป็นประธานสงฆ์ ถวายคำแนะนำ เป็นเหตุให้ทรงจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น และในการทำสังคายนา สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ก็ทรงแสดงพระปรีชาสามารถ โดยทรงเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก
การทำสังคายนาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สมพระราชประสงค์ทุกประการ
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างอเนกอนันต์ ทรงอุทิศพระชนม์ชีพเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาให้วัฒนาสถาพร
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช 2 ครั้ง ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี 12 ปี
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อีก 12 ปี
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325-2337 จึงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเพียงองค์เดียวที่ทรงดำรงตำแหน่ง 2 ครั้ง แต่ต่างสมัยกันเท่านั้น
ท่านสิ้นพระชนม์เมื่อเดือน 5 ปีขาล พ.ศ. 2337


