posttoday

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช

02 มิถุนายน 2556

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาเลื่อน สกุลเดิม ปิยะวานนท์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 ขึ้น 4 ค่ำ ปีมะเส็งเบญจศก จ.ศ. 1255 ตรงกับวันที่ 15 ต.ค. 2436 ทรงเป็นพระราชโอรสรุ่นเล็กสุด รองสุดท้ายก่อนทูลกระหม่อมเอียดน้อย สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ หรือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช มีพระขนิษฐาร่วมพระมารดา คือ พระเจ้าลูกเธอลวาดวรองศ์ ประสูติเมื่อเดือน มี.ค. 2434 แต่พระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้มีพระชนม์อยู่ต่อมาได้เพียงปีเดียวก็สิ้นพระชนม์

พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ทรงเจริญชนม์ขึ้นมาเป็นพระราชโอรสที่น่ารักน่าเอ็นดู คล่องแคล่ว ว่องไว ฉลาดปราดเปรียว เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระบรมราชชนกนาถมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนิทเสน่หาพระราชโอรสพระองค์นี้เป็นอันมาก ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง ทรงใกล้ชิดสนิทสนมกับสมเด็จพระบรมราชชนก เมื่อทรงเจริญถึงวัยจะเสด็จไปทรงศึกษาต่อยังต่างประเทศเช่นเดียวกับพระราชโอรสพระองค์อื่นๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรดให้เว้นเสีย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้พระราชโอรสอยู่ติดกับพระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จไปทุกหนทุกแห่ง ทรงสร้างพระตำหนักพระราชทานให้ประทับอยู่ใกล้แล้วจ้างครูฝรั่งชาวต่างชาติเข้ามาสอนหนังสือในตำหนักแทนการไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ในปี 2444 พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช มีพระชนมายุได้ 8 ปี ก็โปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จไปในการเปิดสะพานรถไฟ จ.ราชบุรี โปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จประพาสต้น ครั้งที่ 2 ในปี 2449 และในปี 2450 ก็โปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ด้วย

พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช นอกจากเป็นผู้ที่ปราดเปรียว คล่องแคล่วว่องไว น่ารักน่าเอ็นดูแล้ว คงจะมีความสามารถหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องทำกับข้าว ดังจะเห็นได้จากความบางตอนในพระราชหัตถเลขาที่มีไปถึงสมเด็จหญิงน้อย เจ้าฟ้านิภานภดล ในพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ว่า

“แล้วมีการเลี้ยงกลางวันจับฉลากนั่งที่ พ่อลูกไปอยู่หัวโต๊ะ ไทยล้วนแต่เซกันโดยมาก กับเข้าไทยที่เลี้ยงวันนี้คือ พริกเกลือถั่ว ๑ กุ้งไม้ทอด ๑ ไข่เค็ม ๑ เนื้อทอด ๑ ของหวานสับปะรดกวนและมะปรางแก้ว ทอดกุ้งไม้กลิ่นส่งขึ้นไปถึงกัปตันต้องลงมาดู ชายอุรุพงศ์เป็นผู้ทอด เลยยัดปากตากัปตันเคี้ยวเรื่อย...”

อีกฉบับหนึ่งเป็นลายพระราชหัตถเลขา เล่าถึงเรื่องที่ทรงตำน้ำพริกด้วยพระองค์และต้องทรงดัดแปลง เครื่องปรุงน้ำพริกตามสภาพท้องถิ่นในยุโรปและการเสวยเผ็ดของพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่งเรียกว่า “เสือพริก” ความว่า

“พ่อตำน้ำพริก ขาดน้ำตาล ใช้น้ำตาลกรวดแทน ช่างประดักประเดิดเสียจริงๆ แก้อย่างไรมันปร่าอยู่นั้นเอง เป็นที่บางกอกก็โทษถึงไม่เสวย ได้อินเวนต์ยำลูกแอปเปอล อร่อยดีมาก ควรจะพากลับเข้าไปถึงบางกอกได้กินกันอร่อยดี แต่เสือพริกอุรุพงศ์ไม่ใคร่พอ อยากแต่จะเผ็ดให้มากอย่างเดียว”

นอกจากนี้ ยังมีพระราชหัตถเลขาเล่าถึงเรื่องอากาศหนาว ทรงเป็นห่วงพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ที่ไม่ทรงคุ้นเคยกับอากาศหนาวจะประชวร แต่กลับกลายเป็นว่าสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ ซึ่งกำลังทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศและทรงคุ้นเคยกับอากาศหนาวเย็นได้ประชวรหวัด แต่พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภชนั้นทรงอ้วนท้วนสมบูรณ์ ดังนี้

“วันนี้แสงแดดอ่อนกว่าวานนี้มาก เย็นมาก ขึ้นบนดาดฟ้าสวมเสื้อสักหลาดพอดีตั้งกองเคี่ยวเข็ญชายอุรุพงศ์มาหลายวัน เรื่องเสื้อชอบใส่แต่เสื้อบางชั้นในไม่ว่ากลางวันกลางคืน ร้อนฤๅเย็นก็เช่นนั้น ถ้าเผลอตัวเจ็บลงแล้วจะลำบาก...”

“บริพัตรเมาเพราะไม่สบาย เป็นหวัดมาแต่คืนนี้ ขึ้นบกไม่ได้ เอาโอเวอโก๊ดไป เจ้าชายอุรุพงศ์นั้นอ้วนขึ้นจนแก้มพอง แต่น่ากลัวเรื่องดื้อไม่ยอมหนาว...”

ภายหลังกลับจากตามเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ไม่ถึง 2 ปี พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ก็ประชวรด้วยพระโรคไส้ตัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระวิตกทุกข์ร้อนยิ่งนัก เมื่อทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ที่ประทับอยู่นครเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 ส.ค. รัตนโกสินทร์ศก 128 ก็เล่าถึงพระอาการประชวรของพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ว่า

“หมู่นี้กำลังวุ่นด้วยเรื่องชายอุรุพงศ์ฯ เจ็บ เรื่องจะเป็นไส้ตันเป็นหนองอย่างลูกโต วันแรกและวันที่สองตกใจมาก คะเนว่าต้องถึงตัดถึงผ่า ถ้าไม่ได้เห็นตัวอย่างผู้ที่รอดมาเป็นหลายคน คงจะไม่เตรียมตัวที่จะยอม นี่ทำให้เตรียมตัวยอมได้ทันที มีข้อวิตกอยู่แต่หัวใจอ่อน พอตั้งต้นเป็นขึ้นก็รวนจะหอบเสียแล้ว แก้ไขกันด้วยเอาน้ำเย็นปะ ยาที่กินนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากถ่านที่ให้ไล่ลมกับยาแก้ปวดก็เทือกเมาๆ ไม่หลับได้เลย และกลืนอะไรไม่ได้เลยสองวันสองคืน จึงได้กินยานอน คราวนี้หลับด้วยยานอนทอดหนึ่ง ต่อมาดูเหมือนพิศม์เสื่อมชาไปหมด ปล่อยให้นอนหลับได้จึงมีกำลังขึ้น เขากำหนดว่าวันที่ ๔ คืนวันนี้เป็นวันที่จะตั้งหนองฤๅไม่ตั้งหนอง และเป็นวันที่จะผ่านั้นวันพรุ่งนี้ มีความยินดีที่จะกล่าวว่าเห็นจะไม่ต้องผ่าแน่แล้ว สังเกตดูพิศม์ถอย วันแรกปรอดขึ้นถึง ๑๐๔ ขาเหยียดไม่ได้ทั้งสองขา นอนตะแคงก็ไม่ได้ ปวดจนเหงื่อแตก หายใจหอบเหนื่อยเสมอ วันที่สองตั้งแต่บ่ายมาปรอด ๑๐๓ ออกจะเชื่อม แต่พอขาเหยียดออกได้บ้างในจวนรุ่งวันที่ ๒ นี้ได้หลับ วันที่ ๓ ปรอดลดลงอยู่ ๑๐๐ ถ้วน ๑๐๐ เศษ ๒ ค่อยคลายปวดรู้สึกหิว พอกินน้ำซุปได้เล็กน้อยขาเหยียดคล่องขึ้น แต่ท้องแข็งคงอยู่ วันนี้ปรอด ๙๙ ยังค่ำ ไม่ใคร่รู้สึกปวด เปนแต่รู้สึกเต็มอยู่ในท้อง นอนตะแคงข้างขวาพอลงได้ ข้างซ้ายไม่ได้เลย เห็นว่าอาการพิศม์ถอยลงทุกวัน แต่เพราะไส้ที่บวมนั้นยังแข็งอยู่ หมอว่าที่จะกล่าวว่าพ้นอันตรายยังไม่ได้ต่อ ๘ วัน เปนอย่างน้อยล่วงไปแล้วจึงจะไว้ใจได้ ที่หมอว่าเช่นนี้ก็เปนความจริง เมื่อลำไส้ยังแข็งอยู่เช่นนั้น ก็อาจจะกลัดเปนหนองได้ จึงต้องระวัง การที่ลูกเจ็บคราวนี้ได้ความเดือดร้อนเต็มที่ เพราะยังเหลืออยู่ด้วยคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นก็ต่างคนต่างแยกกันไปแล้ว เวลากำลังไม่สบายนึกอะไรไม่ค่อยออก จนนึกกลัวว่าถ้าเปนอย่างไรจะเลยหลงเสียดอกกระมัง...?”

จากนั้นอีกเพียงเดือนเดียวก็มีลายพระราชหัตถเลขาถึงพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ลงวันที่ 24 ก.ย. รัตนโกสินทร์ศก 128 แจ้งข่าวร้าย ดังนี้

เจ้าดารารัศมี เชียงใหม่

ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ จึงหมดความที่จะบอกข่าวชายอุรุพงศ์ตายตั้งแต่วันที่ ๒๐ เป็นฝีในไส้ จะทนอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ไหวด้วยรู้สึกไม่สบายมาก จึงจะบอกไปพักอยู่เพชร สบายจึงจะกลับ

สยามมินทร์

พระองค์เจ้าอุรุพงศ์สมโภช สิ้นพระชนม์ยังไม่ได้ทำการพระราชทานเพลิง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็จะต้องสูญเสียพระราชโอรสที่กำลังมีความเจริญก้าวหน้าในทางราชการไปอีกพระองค์หนึ่ง คือ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เจ้าของบทประพันธ์เพลง “ลาวดำเนินเกวียน” หรือเพลงที่รู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบันคือเพลง “ลาวดวงเดือน” เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความทุกข์และเศร้าสลดพระราชหฤทัยยิ่งนัก ดังความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 6 พ.ย. รัตนโกสินทร์ศก 128 ถึงพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ว่า

“...สิ้นสนุกเต็มที่เสียแล้ว กำลังชายเพ็ญจะตายอีกคนหนึ่ง ศพชายอุรุพงศ์จะเผาเดือน ๔ ถ้าหากจะช่วย อื่นๆ มีครบหมดแล้ว เป็นคนโทดิน โอครอบเห็นจะดี...”

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ทรงประชวรด้วยโรคไส้ตัน สิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 17 พรรษา เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 12 ขึ้น 8 ค่ำ ปีมะเส็งเบญจศก จ.ศ. 1255 ตรงกับวันที่ 20 ก.ย. 2452 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโศกเศร้าโทมนัสยิ่งนักที่พระราชโอรสสิ้นพระชนม์ในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานข้ามคลอง เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์เป็นสาธารณกุศล ที่เชิงสะพานทั้งสองฝั่งมีพระรูปปั้นหินอ่อนของพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช พระราชทานชื่อสะพานว่า สะพานอุรุพงษ์ จนถึงปัจจุบัน ไม่มีสะพานแห่งนี้แล้ว คงเหลือแต่ชื่อ ถนนอุรุพงษ์ และสี่แยกอุรุพงษ์ เท่านั้น

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68