หอการค้าไทย/สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
หน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารบริษัท ค้าสากลซิเมนต์ไทย ทำให้ผมมีโอกาสได้พบและมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบุคคลในหลายๆ วงการ ทั้งธุรกิจเอกชน รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐ
หน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารบริษัท ค้าสากลซิเมนต์ไทย ทำให้ผมมีโอกาสได้พบและมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบุคคลในหลายๆ วงการ ทั้งธุรกิจเอกชน รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐ
คุณปรีชา ตันประเสริฐ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นหนึ่งในบุคคลที่ผมได้รู้จักและให้ความเคารพนับถือในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจเกษตรและห้องเย็น ท่านเป็นกรรมการของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นผู้ชักชวนให้ผมเข้าร่วมเป็นกรรมการในสององค์กรที่มีชื่อเสียงนี้
ผมก็ตอบรับด้วยความยินดี
หอการค้าไทยเป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การเงิน และเศรษฐกิจ โดยมิได้มุ่งหวังกำไรเป็นองค์กรที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมความเข้มแข็งให้สมาชิก และปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม
หอการค้าไทยก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2476 โดยกลุ่มนักธุรกิจไทยในครั้งนั้น
ปี 2509 รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของหอการค้าไทยที่สามารถดำเนินกิจกรรม ซึ่งอำนวยประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย จึงได้ตรา “พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509” ขึ้นรองรับการดำเนินงานของหอการค้าไทย และหอการค้าจังหวัดต่างๆ ที่ได้มีการจัดตั้งต่อมาภายหลัง
เมื่อปี พ.ศ. 2483 หอการค้าไทยได้จัดตั้ง “วิทยาลัยการค้า” เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนวิชาทางธุรกิจการค้า ต่อมาในปี 2527 สถาบันนี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย” และเป็นมหาวิทยาลัยเต็มรูปแบบ มีนักศึกษาในปัจจุบันรวมกว่า 2.5 หมื่นคน
ส่วนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2498 เพื่อเป็นศูนย์รวมของพ่อค้าไทยและชาวต่างประเทศในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมและจัดระเบียบการค้า รวมทั้งให้คำปรึกษาและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การค้า การอุตสาหกรรม การขนส่ง การคลัง และการเงินต่อรัฐบาล สมาชิกของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยต้องเป็นองค์กรเศรษฐกิจ ปัจจุบันประกอบด้วยหอการค้าไทย หอการค้าต่างจังหวัดทั่วประเทศหอการค้าต่างประเทศของทุกประเทศที่จดทะเบียนในประเทศไทย สมาคมการค้าต่างๆ และรัฐวิสาหกิจบางประเภทที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เช่น รถไฟ และท่าเรือ เป็นต้น
ปัจจุบันพระราชบัญญัติหอการค้า 2509 ได้มีการปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยเรียกว่า พระราชบัญญัติหอการค้า ฉบับที่ 2/2550 ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในสมัยที่ผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระหว่างปี 2550/2551
กรรมการของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ปฏิบัติหน้าที่ให้องค์กรโดยไม่มีค่าตอบแทนแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกรรมการของทั้งสองสถาบันนี้ให้ความเสียสละทั้งเวลา และเงินทองเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของสถาบัน
ครั้งแรกที่ผมเข้าไปเป็นกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2525 นั้น นพ.สมภพ สุสังกร์กาญจน์ เป็นประธานคณะกรรมการ
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเป็นเสมือนองค์กรพี่และองค์กรน้อง มีประธานคนเดียวกัน แต่เลขาธิการและผู้อำนวยการสถาบันแยกกัน เพื่อให้เหมาะสมกับหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่เพื่อความเชื่อมโยงของสองสถาบันมีกรรมการที่เป็นกรรมการร่วมของทั้งสองสถาบันนี้จำนวนหนึ่ง
ปัจจุบันเพื่อความราบรื่นและต่อเนื่องของการบริหารงาน ได้มีการเปลี่ยนข้อบังคับให้ทั้งสององค์กรมีประธาน เลขาธิการ และผู้อำนวยการบริหาร เป็นชุดเดียวกัน แต่กรรมการให้มีความแตกต่างตามสัดส่วนของสมาชิกของแต่ละองค์กร การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยขจัดความสับสน ความซ้ำซ้อน และการแข่งขันกันเองในบางครั้ง ซึ่งอาจทำให้เสียเอกภาพไปได้เป็นอันมาก
ในปี พ.ศ. 2530 เมื่อ นพ.สมภพ สุสังกร์กาญจน์ หมดวาระลง อาจารย์ยุกต์ ณ ถลาง เข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการ ผมได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทำงานควบคู่กับคุณเฉลียว สุวรรณกิตติ ในตำแหน่งเลขาธิการหอการค้าไทย ผมอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต่อมาอีกสองสมัย คือ สมัยของคุณสุวิทย์ หวั่งหลี และคุณโพธิพงษ์ ล่ำซำ รวมแล้วเป็นเวลา 8 ปีเศษ (คุณสุวิทย์ หวั่งหลี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินก่อนหมดวาระประธานกรรมการ) หลังจากนั้นปฏิบัติหน้าที่เป็นรองประธานคณะกรรมการอยู่หลายปี จนในที่สุดได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการในปี พ.ศ. 2548 ถึง 2552
กรรมการและผู้บริหารของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงยุคที่ผมเข้าไปร่วมงานด้วยนั้น ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการเอง มีกรรมการที่เป็นลูกจ้างอาชีพอยู่บ้างแต่เป็นกลุ่มเล็กๆ
ระบบการบริหารก็จะผันแปรไปกับบุคลิกของประธานและกรรมการบริหารหลักๆ บางท่าน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะลักษณะการเติบโตขององค์กรค่อยเป็นค่อยไป บางเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ การเงินไม่คล่อง ผู้บริหารหรือกรรมการจำเป็นต้องเสียสละเงินส่วนตน เพื่อค้ำจุนองค์กรให้ดำเนินต่อไปได้
ระยะหลังๆ ต่อมาเมื่อองค์กรมีความแข็งแกร่งมากขึ้น สถานภาพทางการเงินดีขึ้น มีรายได้คุ้มรายจ่ายกับบริการที่ให้แก่สมาชิกและสาธารณชนแล้ว โครงสร้างของคณะกรรมการเริ่มเปลี่ยนไปจากเจ้าของกิจการไปเป็นผู้บริหารอาชีพของบริษัทต่างๆ เข้ามาร่วมงานมากขึ้น
มีการวางมาตรฐานการบริหารจัดการให้เป็นระบบและต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าประธานกรรมการและคณะกรรมการจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ระบบการบริหารสามารถรับต่อได้อย่างราบรื่น ทำให้องค์กรมีเอกภาพและมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนในสายตาของสมาชิกและประชาชนเป็นอย่างดี n
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)


