ไขปมพิพาท"พระวิหาร"
ไขปมข้อพิพาทเขาพระวิหารที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาจะขึ้นให้การด้วยวาจาต่อศาลโลกในคดีตีความคำพิพากษาช่วงวันที่ 15-19เม.ย.นี้
ไขปมข้อพิพาทเขาพระวิหารที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาจะขึ้นให้การด้วยวาจาต่อศาลโลกในคดีตีความคำพิพากษาช่วงวันที่ 15-19เม.ย.นี้
ความคลุมเครือคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลกคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ให้ไทยถอนกำลังทหารและตำรวจออกจากปราสาทและ “พื้นที่ใกล้เคียง” แต่ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นเขตแดนตามแผนที่ซึ่งกัมพูชาได้ร้องขอ เป็นความคลุมเครือมาตลอดเวลา 49 ปี กระทั่งปัญหาพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาบานปลายออกไป กัมพูชาจึงร้องขอให้ศาลตีความคำพิพากษาอีกครั้ง
เป็นการขอให้ศาลตีความคำพิพากษาที่ว่า “พันธะที่ประเทศไทยจะต้องถอนกำลังทหาร หรือตำรวจ บริเวณใกล้เคียงในอาณาเขตของกัมพูชา” ในคำร้องดังกล่าว กัมพูชาได้อ้างว่า “ดินแดนดังกล่าว อันเป็นที่ตั้งของปราสาทและบริเวณใกล้เคียง ได้ถูกปักปันตามเส้นเขตแดนที่ลากไว้บนแผนที่”
สรุป คือ กัมพูชาได้ขอให้ศาลตีความในประเด็นเส้นเขตแดน
การพิจารณาคดีตีความคำพิพากษานี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2554 ไทยและกัมพูชาได้ขึ้นให้การด้วยวาจากันมาแล้วรอบหนึ่ง ในการพิจารณามาตรการชั่วคราว ซึ่งผลออกมาคือศาลได้กำหนดพื้นที่ปลอดทหาร สั่งให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ซึ่งกำหนด
ในการให้การด้วยวาจาครั้งก่อน ไทยยืนยันหลักการว่า คำร้องของฝ่ายกัมพูชาเป็นเรื่องเขตแดน ที่ศาลเคยปฏิเสธมาแล้วในการตัดสินเมื่อปี 2505 คำร้องของกัมพูชาจึงไม่ใช่คำขอตีความคำตัดสินเดิม แต่เป็นคำฟ้องคดีใหม่ ศาลโลกไม่มีอำนาจตีความ
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า ไทยได้ส่งกองกำลังติดอาวุธรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ข้อพิพาท บนพื้นฐานของการตีความคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งเป็นการตีความที่เข้าใจผิดไปเอง
หลังจากนั้น ศาลกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายยื่นเอกสารคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร และถึงขั้นตอนสำคัญ การให้การด้วยวาจาในระหว่างวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ ซึ่งถือเป็นการให้การครั้งสุดท้าย ก่อนที่องค์คณะผู้พิพากษาคดีของศาลโลกจะประชุมเพื่อมีคำตัดสิน คาดว่าจะเป็นช่วงปลายปีนี้
ดังนั้น การให้การด้วยวาจาครั้งนี้ จึงมีความสำคัญยิ่งที่แต่ละฝ่ายจะตอกย้ำยืนยันหลักการเหตุผล ตลอดจนเสนอหลักฐานใหม่ต่อศาล หรือแม้แต่ทำลายน้ำหนักความชอบธรรมเหตุผลข้ออ้างของคู่พิพาท เพื่อให้คำตัดสินของศาลที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนเอง ซึ่งคาดว่าศาลโลกจะมีคำพิพากษา 4 แนวทาง
แนวทางที่เป็นคุณต่อประเทศไทยนั้น มี 2 แนวทาง คือ 1.ตัดสินว่ากัมพูชาไม่มีอำนาจฟ้อง และศาลไม่มีอำนาจพิจารณา 2.ตัดสินขอบเขตปราสาทพระวิหารตามที่ไทยได้ล้อมรั้วกั้นอาณาเขตปราสาทไว้ตั้งแต่ปี 2505
หรือไทยกับกัมพูชาอาจเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หากตัดสินกำหนดขอบเขตปราสาทพระวิหารตามแนวทางอื่นที่ศาลเห็นสมควร
และผลเสียที่สุดคือ ศาลตัดสินกำหนดขอบเขตปราสาทตามแผนที่ของกัมพูชา
ซึ่งหมายถึงกัมพูชาจะได้ครอบครองพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารไปทั้งหมด
ทีมไทยมั่นใจชนะ
สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนออกเดินทางไปศาลโลก เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่า ทีมทนายได้เตรียมการต่อสู้คดีไว้ครอบคลุมในทุกประเด็น มั่นใจว่าจะชนะคดี และมั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมของศาลโลกจะให้ความเป็นธรรม เพราะเคยตัดสินคดีในกรณีที่มีข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยมองถึงความสงบของคู่กรณีด้วย
“การไปสู้คดีครั้งนี้ทุกคนสู้เพื่อประเทศไทยและคนไทยทุกคน เราจะไปปกป้องประเทศเป็นหลัก บอกกับประชาชนได้เลยว่าเราสู้เต็มที่” สุรพงษ์ กล่าวอย่างมั่นใจ
สำหรับคณะที่เดินทางไปกรุงเฮกพร้อมสุรพงษ์ ประกอบด้วย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ท.วรวิทย์ ดรุณชู เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย
เปิดหลักฐานใหม่ย้อนเขมร"ไม่โต้แย้งคือยอมรับ"
ณัฎฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยมีหลักฐานใหม่คือ หลังการล้อมรั้วรอบปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาศาลโลก ปี 2505 พระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชา ในขณะนั้น ได้เคยเสด็จฯ ขึ้นไปบนเขาพระวิหารโดยไม่ได้เคยโต้แย้งหรืออุทธรณ์การปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกของฝ่ายไทย ซึ่งจะนำหลักฐานภาพถ่ายดังกล่าวไปแสดงต่อศาลในครั้งนี้
ทั้งนี้ การล้อมรั้วของรอบปราสาทเพื่อกำหนดขอบเขตของฝ่ายไทยนั้นทำโดยเปิดเผย ซ้ำ พ.อ.ถนัด คอมันต์ รมว.ต่างประเทศในขณะนั้นได้ทำหนังสือแจ้ง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ ในขณะนั้นถึงการปฏิบัติของฝ่ายไทย รวมทั้งการล้อมรั้ว ซึ่งกัมพูชารับทราบมาโดยตลอดแต่ไม่มีการโต้แย้งใดๆ
การรับรู้แต่ไม่โต้แย้ง เข้าข่ายหลักกฎหมายปิดปาก ซึ่งตีความว่าไม่โต้แย้งในขณะที่มีความสามารถจะทำได้เท่ากับยอมรับ


