"ปล้นเงียบ"โกดังข้าวรัฐ
ไม่ใครก็ใครกำลังพูด“โกหกคำโต” เกี่ยวกับปริมาณสต๊อกข้าวสารที่แท้จริงในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดของรัฐบาล
โดย...จตุพล สันตะกิจ
ไม่ใครก็ใครกำลังพูด“โกหกคำโต” เกี่ยวกับปริมาณสต๊อกข้าวสารที่แท้จริงในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดของรัฐบาล
เพราะไม่กี่สัปดาห์ก่อน วัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า กรมการค้าต่างประเทศ รายงานว่า ได้ขายข้าวสารในสต๊อกแบบจีทูจีออกไปจำนวนมาก และเหลือสต๊อกข้าวเก่าปีการผลิต 2554/2555 เพียง5 ล้านตันเท่านั้น
นั่นเท่ากับว่าข้าวเปลือกที่รัฐบาลได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/2555 และข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 21.7 ล้านตันข้าวเปลือก จ่ายเงินให้เกษตรกรไป 336,731.72 ล้านบาท สีแปรเป็นข้าวสารได้ 11.712ล้านตัน และเมื่อรวมกับข้าวเก่าที่อยู่ในสต๊อก2 ล้านตัน
ข้าวสารอยู่ในมือประมาณ 14 ล้านตันถูกระบายออกไปแล้ว 9 ล้านตันเลยทีเดียว
“รัฐบาลมีข้าวสารค้างอยู่ในสต๊อกสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ 2 ล้านตันข้าวสาร เมื่อรวมกับข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีและนาปรังปี 2554/2555 อีก 11.7ล้านตัน จะทำให้รัฐบาลมีข้าวสารในมือ14 ล้านตัน หากขายจนเหลือ 5 ล้านตัน เท่ากับรัฐบาลขายข้าวได้ 9 ล้านตัน” ปราโมทย์ วานิชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าว
ทว่าเมื่อคำนวณจากปริมาณข้าวส่วนใหญ่ที่อยู่ในโกดัง คือ ข้าวขาวที่ราคาตลาดเฉลี่ยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 1.6-1.7 หมื่นบาทต่อตัน หากกระทรวงพาณิชย์ขายข้าวได้ 9 ล้านตันจริง กระทรวงพาณิชย์จะได้เงินจากค่าขายข้าวสารเป็นเงิน 1.44-1.53 แสนล้านบาท
แต่ในวงการพ่อค้าต่างรู้ดีว่าไม่มีใครซื้อข้าวในสต๊อกที่ราคาตลาดแน่ เพราะพ่อค้าซื้อข้าวมาขายจะต้องมี “กำไร” ไม่นับรวมกับส่วนต่างที่ต้องจ่าย “ใต้โต๊ะ” ให้กับผู้มีอำนาจปล่อยข้าวสารออกจากสต๊อก ราคาข้าวที่ขายได้ไม่มีทางถึง 1.6-1.7 หมื่นบาทต่อตันแน่นอน
และในประเด็นนี้เอง ปราโมทย์ ไขปมว่า ในวงการพ่อค้าทราบกันดีว่าราคาข้าวสารที่พ่อค้าซื้อจากสต๊อกรัฐบาล อย่างเก่งก็ซื้อที่ราคาประมาณ 1.5 หมื่นบาทต่อตันเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะต่ำกว่านั้น
นั่นก็เท่ากับว่าข้าวสาร 9 ล้านตันที่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าขายออกไปจะมีเงินเข้ากระเป๋ากระทรวงพาณิชย์เพียง 1.35 แสนล้านบาท
แต่กลับพบประเด็นพิรุธข้าวที่ว่าเงินค่าข้าวถูกส่งคืนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพียง 8 หมื่นล้านบาท
จึงต้องตั้งคำถามว่าเงินค่าข้าวอีก 5 หมื่นล้านบาท “หายไปอยู่ในซอกมุมไหน” เว้นเสียแต่ว่าปริมาณข้าวที่บอกว่าขายไป 9 ล้านตันเป็นตัวเลขที่ “อุปโลกน์” ขึ้นมาลอยๆ หวังแก้เกี้ยวเท่านั้น และนี่เป็นเงื่อนปมแรกที่กระทรวงพาณิชย์ต้องไขข้อข้องใจให้กระจ่าง
กระนั้นยังมีอีกเงื่อนปมที่ต้องตั้งคำถามเช่นกัน คือ กระทรวงพาณิชย์ระบายข้าวโดยวิธีใด ขายข้าวให้ใคร และราคาที่ขายไปอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ “ปกปิด” ข้อมูลเหล่านี้เป็นความลับ
โดยเฉพาะการขายข้าวแบบ “จีทูจีเก๊” ที่ถึงวันนี้ต้องเรียกว่ามีกระบวนการ “ปล้นเงียบ”โกดังข้าวของรัฐบาล แต่ฉาวโฉ่และรับรู้ไปทั่วทั้งวงการข้าวก็ว่าได้
นั่นเพราะทรัพย์สินของรัฐที่อยู่ในรูปข้าวสารมูลค่า 34 แสนล้านบาท ใช้เงินภาษีประชาชนซื้อข้าวเข้ามา แต่มีผู้บงการ “สั่ง” ปล่อยข้าวออกได้ 34 คน และไม่ต้องรายงานให้ใครทราบ เทียบกับการขายทอดตลาดทรัพย์สินราชการ เช่น รถยนต์เก่า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้กันมาเป็น 10 ปี ราคาไม่กี่หมื่นกี่แสนบาท ยังต้อง “ประมูล” และรายงานสาธารณะ
“วันนี้มีการขนข้าวออกจากโกดังข้าวรัฐกันอย่างโจ่งครึ่ม ไม่มีใครกลัวอะไรแล้ว” แหล่งข่าวจากวงการโรงสีรายหนึ่งเปิดเผย และระบุว่า ขณะที่กระบวนการขนข้าวออกจากโกดังรัฐบาลยังเป็นรูปแบบเดิมๆ ตัวละครเดิมๆ
เช่น สยามอินดิก้า โรงสีโชควรลักษณ์ นครหลวงค้าข้าว เอเซีย โกลเด้น ไรซ์ฯ และเจียเม้ง เป็นต้น ที่มาเบิกข้าวออกจากคลังขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) มีการระบุชนิดและปริมาณข้าว แต่ไม่ระบุ “ราคา” โดยอ้างเป็นการซื้อขายแบบจีทูจี
แต่ที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าปลายทางข้าวสารที่เบิกออกไปนั้นไปจบลงที่ไหน ขณะที่เงินที่กรมการค้าต่างประเทศได้รับเป็นค่าข้าวถูกสั่งจ่ายเป็น “แคชเชียร์เช็ค” ที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเงิน ทั้งไม่มีการตรวจสอบ “เส้นทางเงิน”
โดยเฉพาะหลักฐานที่สะท้อนได้ชัดเจนว่ากระบวนการขายข้าวมีการ “ตุกติก” ก็คือ แม้แต่การซื้อขายข้าวของรัฐตามปกติ ผู้ซื้อยังต้องมีการจ่ายเงินค้ำประกัน 5% ของมูลค่าสินค้า แต่นี่เป็นการขายข้าวแบบจีทูจี แต่กลับไม่มีหลักฐานการเปิด “แอล/ซี” มาแสดงแม้แต่แผ่นเดียว หากเกิดการ “ชักดาบ” แล้วใครจะรับผิดชอบ
เช่นเดียวกับข้าวสารที่ขนถ่ายออกจากโกดังข้าวรัฐ วงการค้าข้าวต่างรู้ว่าข้าวสารถูกผ่องถ่ายไปที่ใดบ้าง
แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว เปิดเผยว่า ข้าวสารที่พ่อค้าข้าวบางกลุ่มได้จากโกดังรัฐในรูปแบบจีทูจี จะมีการจัดสรรปันส่วนไปหลายทาง
ได้แก่ 1.ข้าวสารบางส่วนถูกนำมาขายในตลาดในประเทศ และมีบางล็อตที่ส่งออก หรือเรียกว่ากระบวนการ “ขายตรง” เพราะกลุ่มก๊วนพ่อค้าและโรงสีที่เป็นเครือข่ายนักการเมืองจะนำข้าวไปขายเอง
โดยข้าวที่ขนออกจากโกดังราคาตกอยู่ที่ 1.4-1.5 หมื่นบาทต่อตัน เทียบกับราคาข้าวในตลาดมีราคาเฉลี่ย 1.7 หมื่นบาทต่อตัน กำไรตกอยู่ที่ 2,000-3,000 บาทต่อตัน ส่วนแบ่งเงินส่วนต่างก็แล้วแต่จะตกลง แต่ว่ากันว่าก๊วนนักการเมืองรับเนื้อๆ 1,000 บาทต่อตัน
ขณะที่ต้นทุนข้าวสารที่ถูกแสนถูกนั้น เป็นสิ่งที่ “กดดัน” ไม่ให้ราคาข้าวสารในประเทศเพิ่มขึ้น
ที่สำคัญ เมื่อผู้บริโภคกินข้าวสารราคาถูกก็ทำให้ไม่มีใครออกมาโวยวาย ยิ่งทำให้ก๊วนค้าข้าวยิ่งย่ามใจ
และ 2.ข้าวสารจากโกดังรัฐจะนำเข้าสู่กระบวนการ “เปาเกา” หรือนำข้าวสารมาเวียนเข้าโครงการรับจำนำอีกรอบ ทั้งโดยพวกโรงสีที่ “สมัครใจ” และโรงสีที่ถูก “บีบ” ให้เข้าร่วมกระบวนการ ซึ่งทุกโรงสีต่างก็รู้ว่าเสี่ยง แต่ทำอย่างไรได้ เพราะลำพังพ่อค้าและพรรคพวกที่มีอยู่ มีกำลังไม่พอที่จะเร่งระบายข้าวออกครั้งละมากๆ ก็จำต้องเรียกแขกมาร่วมก๊วน
วิธีการคือ ผู้ที่ได้หรือซื้อข้าวสารจากรัฐบาลในรูปแบบจีทูจี จะมีการทำเรื่องขอนำ “โกดังข้าว” ทั้งเก่าและที่เพิ่งสร้าง ขอเข้าร่วมโครงการฯ โดยขออนุญาตจาก อคส. เป็นต้น จากนั้นก็จะขนข้าวที่ “แอบซื้อขาย” ไปเก็บไว้ในโกดังนั้นๆ
จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการบีบให้โรงสีต้อง “สมยอม” ร่วมเวียนเทียนข้าว ขณะที่โรงสีจะต้องมี “กำไร” ด้วย ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง
นั่นเพราะตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ระบุว่า โรงสีที่เข้าร่วมโครงการฯ เมื่อได้ข้าวเปลือกต้องสีแปรสภาพเป็นข้าวสารและส่งมอบไปยังโกดังกลางภายใน7 วัน และขั้นตอนตรงนี้จะมีการ“ปิดกั้น” ไม่ให้โรงสีส่งข้าวเข้าโกดังกลางตามกำหนด และเสียค่าปรับในอัตรา 0.2% ของมูลค่าข้าวต่อวัน
ที่สำคัญคือ อคส.และ อ.ต.ก.จะไม่ยอมรับฟังเหตุผลเลยว่าเหตุใด โรงสีจึงส่งข้าวเข้าโกดังกลางไม่ได้
จากนั้น “เจ้าของข้าว” จะติดต่อเจรจาต่อรองโรงสีให้ “โอนเงิน” ตรงไปให้กับเจ้าของข้าว เช่น 16.50 บาทต่อกิโลกรัม แลกกับการที่โรงสีไม่ต้องส่งมอบข้าวเข้าโกดัง แต่ให้โรงสีนำข้าวในโครงการไปสีขายในตลาดและขายออกไปในราคาตลาด บ้างก็ยอมขายขาดทุน เพราะอย่างน้อยโรงสีที่เข้าโครงการล้วนมีกำไรจากค่าสีแปรสภาพข้าวอยู่แล้ว
“กระทรวงพาณิชย์กำหนดให้โรงสีส่งมอบต้นข้าวหรือข้าว 450 กิโลกรัมต่อข้าวเปลือก 1,000 กิโลกรัม แต่โรงสีปัจจุบันมีศักยภาพสีแปรข้าวเปลือกเป็นข้าวสารได้ 480-500 กิโลกรัม เท่ากับมีข้าวที่ไม่ต้องส่งมอบ 50 กิโลกรัม เป็นเงิน 850 บาทต่อตัน เมื่อรวมกับค่าสี 500 บาทต่อตัน โรงสีจะมีกำไร 1,350 บาทต่อตัน” แหล่งข่าวระบุ
การที่โรงสียอมซื้อข้าวสารที่ราคา 16.50 บาท แต่นำมาขายในตลาดได้ที่ราคา 1616.20 บาทต่อกิโลกรัม ขาดทุน 3050 สตางค์ต่อกิโลกรัม หรือ 300-500 บาทต่อตัน ก็ยังพอมีกำไรประมาณ 1,000 บาทต่อตัน
เมื่อสมประโยชน์กันทั้งเจ้าของข้าวและโรงสี ทุกคนต่างก็เงียบตามระเบียบ
แต่ทว่าการขายข้าวแบบปิดลับ “วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง” ที่ทำกันอยู่นี้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กระทรวงพาณิชย์ไม่กล้าเผยข้อมูลและปริมาณขายข้าวที่แท้จริง เพราะหากเปิดข้อมูลเมื่อใดก็จะพบว่าตัวเลขการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าว “เกินจริง” และสาวต่อไปได้ว่าเงินที่ไหลเข้าหลวงกับเงินที่เข้ากระเป๋า “ก๊วนการเมือง” กัน
เหล่านี้เป็นเงื่อนปมบางส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ต้องชี้แจงให้หมดจด ไม่เช่นนั้นต้องเรียกว่า มหกรรมปล้นโกดังข้าวหลวง


