หลวงปู่โง่น โสรโยพระอะระหนอลหม่าน
ภัทระ คำพิทักษ์
พระภิกษุซึ่งมีชีวิตพิสดารมากที่สุดรูปหนึ่งคือ หลวงปู่โง่น โสรโย
เคยมีผู้ถามท่านว่า หลวงปู่ปฏิบัติกรรมฐานอยู่สายไหนกันแน่ สายครูบาศรีวิชัย สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สายวัดปากน้ำ สายมหาญาณของอินเดีย เวียดนามหรือสายมนตรยานวัชรยานของทิเบต หรือสายญี่ปุ่น ท่านตอบว่า หลวงตาโง่นปฏิบัติธรรมสายตัวเอง เป็นทางสายกลางที่มีอยู่ในหนังสือสวดมนต์ในบทธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา ซึ่งมีความว่า
“ทะเวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค”ท่านว่า สำนักไหนสร้างตึกเป็นอาคารสวยงามหรูหราราวคฤหาสน์ของปุถุชน หรือสร้างใหญ่โตมโหฬารราววังพระมหากษัตริย์อย่างนั้นกรรมฐานกันเล่นๆ แต่ขณะเดียวกันสำนักไหนที่ปฏิบัติแบบเคร่งเครียดเอาเป็นเอาตายก็ผิดทางสายกลาง ทางที่ท่านปฏิบัติคือทางสายกลางอันมีมรรค 8 ซึ่งรวมกันอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปฏิปทาพาพ้นทุกข์
แม้ไม่นับว่าอยู่สายไหนนอกจากการปฏิบัติตามหลักทางสายกลาง แต่นับหน่อเนื้อเชื้อไขแล้ว ท่านเริ่มต้นสมณเพศมาจากสายพระป่าวงศ์ธรรมยุตอีสาน
เหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะอุปัชฌาย์ของหลวงปู่โง่น คือ เจ้าคุณปู่ พระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) ครั้งแต่เป็นพระสารภาณมุนี วัดศรีเทพประดิษฐาราม จ.นครพนม
เหตุที่ว่า ชีวิตหลวงปู่โง่นโลดโผนพิสดารนั่นเพราะท่านเป็นคนไทยในช่วงกึ่งพุทธศตวรรษที่มิใช่มีฉากในชีวิตแค่เป็นลูกคนธรรมดาสามัญแล้วเจริญก้าวหน้าในธรรมเหมือนรูปอื่นๆ หากแต่มีโอกาสไปเห็นโลกกว้างแต่เยาว์วัย
ท่านบันทึกเล่าไว้ว่า บิดาเป็นคนพระนครศรีอยุธยา ส่วนเทือกเถาเหล่ากอข้างมารดาเป็นไทยใหญ่มาแต่รัฐฉาน โยมมารดามาถือกำเนิดที่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เมื่อพ่อมารับจ้างเป็นหัวหน้าคนคุมแพไม้สักให้บริษัทฝรั่งค่าไม้สมัยโน้น เลยพบรักแต่งงานกัน
โยมบิดาขึ้นไปรับโยมมารดาซึ่งท้องแก่ล่องแพมาตามลำน้ำปิงจนถึงปากน้ำโพ แม่ปวดปัสสาวะเลยถ่ายปัสสาวะเสียที่ร่องแพ ลูกในท้องเลยหลุดผลัวะออกมาตกน้ำไปในนาทีนั้นด้วย เดชะบุญเพื่อนรักของพ่อคือ สุนัขชื่อเก่ง โดดลงไปงับเอาขาลากขึ้นมา บิดาก็กระโจนลงไปเอาลูกขึ้นมาได้ก็ร้องอุแว้ๆ
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีชื่อเล่นมาแต่เด็กว่า
“เจ้าเก่ง” อันเป็นชื่อสุนัขที่ช่วยชีวิตท่านเอาไว้นั่นเองอายุสิบกว่าขวบ ชาวฝรั่งเศสเจ้าของบริษัทค้าไม้ซึ่งรักใคร่กับโยมบิดานัก ได้ขอรับท่านเป็นบุตรบุญธรรม
เมื่อพ่อบุญธรรมต้องออกเดินทางไปดูแลกิจการ ณ ที่ต่างๆ เลยเป็นเหตุให้ท่านตามไปด้วย เส้นทางนั้นเริ่มจากย้ายไปอยู่ไซ่ง่อน 1 ปี แล้วไปต่อที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ล่องผ่านอเมริกาตะวันตก ตั้งแต่ซานฟรานซิสโก ซีแอตเติล ลอสแองเจลิส ซานดิเอโก เม็กซิโก กัวเตมาลา นิการากัว ฮอนดูรัส คอสตาริกา ปานามา และโคลัมเบีย ซึ่งส่วนหลังๆ นี้จะอยู่แห่งละไม่เกิน 2 เดือน
ระหว่างเดินทางนั้น โยมพ่อบุญธรรมจ้างครูมาสอนภาษาวันละ 4 ชั่วโมง และต้องทำงานขูดสนิมเรือวันละ 3 ชั่วโมง
ออกจากเส้นทางนั้นก็ไปอเมริกาเหนือแล้วตรงเข้ายุโรป 3 ปีค่อยถึงปลายทางที่เมืองรียอง ประเทศฝรั่งเศส
ท่านได้เข้าเรียนไฮสกูลที่ฝรั่งเศส โดยทำงานรับจ้างแบกสิ่งปฏิกูลจากพระราชวังแวร์ซายส์ในอัตราถังละ 1 ฟรังก์ เงินโยมพ่อบุญธรรมให้มาก็เก็บไว้ ส่งเสียตนเองจนเรียนจบสาขาศัลยแพทย์ เมื่อเรียนจบแล้วมาฝึกงานที่เมืองดูไบ เมืองใหญ่ของตะวันออกกลาง
ศัลยแพทย์หนุ่มวัย 25 ปี ลงเรือที่เมืองมาเซย์ เดินทางกลับประเทศไทยในปี 2475 ตามคำขอของพ่อแม่ทางบ้านซึ่งได้แจ้งเหตุไปให้รู้ว่า ปู่เสียชีวิต
แม่ท่านบังคับให้บวชเป็นพระกับสมณะที่โยมมารดานับถือนักหนานั่นคือ ครูบาศรีวิชัย โดยไม่สนใจว่าลูกนับถือคริสต์มาแล้ว
เส้นทางสมณะของท่านเริ่มจากบวชเณร 15 วันแล้วอุปสมบทเป็นพระอยู่กับท่านได้ปีเศษ ครูบาศรีวิชัยก็สิ้นไป
ทานเล่าว่า เมื่อครูบาศรีวิชัยจะสิ้นในปี พ.ศ. 2481นั้น ท่านกล่าวขณะกำลังจะสิ้นลมว่า
“อนาคามีๆ”การได้อยู่กับครูบาศรีวิชัยทำให้ท่านมีใจต่อสู้และ
“อยากรู้ความจริงว่าศาสนาพุทธเขาเอากันอย่างไร” เพราะครูบาศรีวิชัยนั้นถูกจับกุมไปสอบสวนอยู่ถึง 5 ครั้ง พอสิ้นครูบาเจ้า ท่านก็รอนแรมไปเรื่อย จนหลงมาปะเข้ากับ “ครูบาวัง” ที่วัดบรมนิวาส ซึ่งก็น่าจะคือ พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร หนึ่งในศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านว่าพระอาจารย์วังรูปนี้“
สั่งสอนเข้าหลักธรรมชาติ ประยุกต์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน พระเถระรูปนี้มีพุทธังสะระณังคัจฉามิจริงๆ...เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะท่านลดละแทบทั้งหมด มีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมดแล้ว เรียกให้เข้าพบท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติกับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์ เคมี มาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย อันพระสงฆ์ทั่วๆ ไปที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น จึงติดตามท่านไป”เพราะคำชักชวนของพระอาจารย์วัง ท่านจึงญัตติเป็นธรรมยุตเมื่อปี 2485 โดยมีเจ้าคุณปู่เป็นพระอุปัชฌาย์ดังกล่าว
ต่อมาพระอาจารย์วังได้ส่งท่านไปอยู่เมืองลาวกับเจ้ายอดแก้ว บุญทัน บุปผารัตน์ ธีมมญาโณ ผู้เป็นสหายของพระอาจารย์วัง และต่อมาเจ้ายอดแก้วนี้เองได้กลายเป็นพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาวก่อนกรุงเวียงจันทน์แตกในปี 2518 ในกาลต่อมา
ข้ามจากลาวกลับมาหาเจ้าคุณปู่ เจ้าคุณปู่ก็ส่งออกไปภาวนากับพระอาจารย์วัง ได้มีโอกาสเข้าไปสู่สำนักพระอาจารย์เสาร์ กันตลีโล อยู่ 1 ปี อยู่กับพระอาจารย์สนธิ์ นาแก อีก 1 ปี ย้อนกลับมาสอนภาษาบาลีที่วัดเจ้าคุณปู่ แล้วรอนแรมเข้าพม่าไปอินเดีย ยาวไปถึงทิเบต พอกลับเมืองไทยอยู่ได้อีก 5 ปีก็ออกไปออสเตรเลีย ไปฝรั่งเศสแล้วกลับมาธุดงค์อยู่ตามเทือกเขา และเงื้อมผาต่างๆ กระทั่งได้รับนิมนต์มาประจำที่วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดาร ท่านก็รับอาราธนาและอยู่ที่นั่นเรื่อยมาอวสานแห่งชีวิต
ท่านเป็นพระภิกษุที่พูดได้หลายภาษาทั้งลาว ไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส รู้เรื่องวิทยาการสมัยใหม่ รวมทั้งศิลปะอย่างกว้างขวาง ท่านมีความสามารถในเรื่องการซ่อมเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนการสร้างพระพุทธวิโมกข์แจกไปทั่วประเทศนับแสนองค์ โดยใช้ทุนส่วนตัวทั้งหมดไม่รับแม้แต่เงินบริจาค และพระพุทธรูปอันงดงามนั้นก็เกิดจากต้นแบบซึ่งท่านปั้นเองกับมือ เป็นพยานเรื่องนี้อย่างดี
ขณะเดียวกันก็มีญาณหยั่งรู้ มีอิทธิฤทธิ์แปลกๆ เช่น ชี้มือจุดเทียนชัยในงานพุทธาภิเษกโดยไม่ต้องจุดเทียนจุดไฟ ฯลฯ
มหัศจรรย์ทางจิตของท่านนั้น มีผู้รับรู้และบันทึกไว้นานัปการ แต่สำหรับท่านเองส่วนใหญ่แล้วมักจะมีความสามารถด้านนี้ไปเพื่อแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง ในรูปแบบต่างๆ เช่น ดูแลการสร้างหลักเมือง จ.พิจิตร หลักเมืองน่าน หลักเมืองตาก สร้างประติมากรรมปั้นรูปอนุสาวรีย์พลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่ อ.ทุ่งช้าง แล้วรวบรวมกระดูกผู้เสียชีวิตในการต่อสู้คราวนั้นบรรจุไว้ในฐานอนุสาวรีย์ บทบาทอย่างหนึ่งซึ่งต่อมาเป็นที่รู้กันทั่วไปคือ การขุดประวัติศาสตร์เรื่องพระนางสุพรรณกัลยา ออกมาเผยแพร่ จนทำให้เรื่องราวของพระนางสุพรรณกัลยาเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป
ท่านบันทึกไว้ว่า ชาติหนึ่งท่านเป็นนักรบผู้มีฝีมือ เป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา พออโยธยาพ่ายพม่าในสงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราช ท่านก็เป็นผู้ถวายเพลิงพระศพ เมื่อพม่านำพระนเรศวร พระเอกาทศรถ และพระนางสุพรรณกัลยา ครั้งยังเยาว์วัยไปเป็นตัวประกันที่พม่า ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนอนุรักษ์ศักดิ์เสนามีหน้าที่ดูแลเชลยทุกคน
ท่านใช้ความรู้ไปแก้ปัญหาเหนือโลกหลายอย่าง
เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดรูปปั้นอนุสาวรีย์ พ.ท.ต .ที่ อ.ทุ่งช้าง มีพระราชกระแสชมเชยหลวงปู่ว่า
“ท่านเป็นพระสงฆ์องค์เจ้ายังสู้อุตส่าห์ช่วยเหลือบ้านเมืองดีมาก หากมีอย่างพระคุณเจ้าหลายๆ องค์คงเจริญไม่เดือดร้อน ขอให้ท่านจงเจริญ”บางคนว่า หลวงปู่สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ 4 เพราะพูดได้หลายภาษาและรู้ภาษาสัตว์ต่างๆ อีกต่างหาก แต่ท่านพูดถึงตัวเองว่า
“ฉันไม่ใช่พระอรหันต์ แต่เป็นอะระหนอลหม่าน วันๆ เอาแต่วุ่นวายโกลาหล อลหม่านอยู่กับฝูงสัตว์ป่านับร้อยๆ ในสำนักอาศรมต้องคอยจัดหาอาหารเลี้ยงนกยูงเป็นร้อยๆ นกน้อยๆ เป็นพัน ทั้งเอี้ยงดง สาริกา และนกใหญ่อย่างนกเงือก นกปากห่าง ไก่ฟ้าพญาลอ นกยูงนั้นมีนกยูงเผือก นกยูงลาย นกยูงไทย รองลงมาก็เป็นฝูงกาดำเป็นร้อยๆ ส่วนกาเผือกมีอยู่ 2 ตัว นกเป็ดน้ำก็เยอะ อีเก้งก็มีเป็นฝูง งูเห่า งูเหลือมลงมาจากเขารวกมากินอาหารกันเป็นปกติ สุนัขก็มีหลายตัว หลายพันธุ์ เป็นต้นว่า บอกเซอร์ เกรตเดน เซนต์เบอร์นาร์ด อัลเซเซียน แล้วก็ยังมีวัวควายที่ชาวบ้านเอามาปล่อยวัดเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุเป็นฝูง ต้องหาหญ้าเลี้ยงดูทุกวัน ชีวิตฉันจึงอลหม่านไปหมดในแต่ละวัน จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร”พล.ท.อุดมชัย องคสิงห อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 บันทึกถึงคำบอกเล่าของหลวงปู่โง่น ว่า ระหว่างที่หลวงปู่ธุดงค์เข้าไปที่พม่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกทหารพม่าจับขังคุกไว้นั้น ท่านไม่ได้ทิ้งการภาวนา และระหว่างภาวนาที่พม่าในคราวนั้นเอง ท่านได้นิมิตเห็นสตรีนางหนึ่งมาบอกว่า จะช่วยให้พ้นจากการจองจำ พร้อมทั้งบอกด้วยว่า
“พระนางคือ พระสุพรรณกัลยา พระพี่นางของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระเอกาทศรถ พร้อมกับรับรองว่าจะให้หลวงปู่โง่นมีชีวิตอยู่จนกว่าจะฟื้นฟูของชาติไทยในส่วนนี้”หลังท่านบุกเบิกและเปิดเผยเรื่องนี้มาอย่างอดทน คนก็ได้รับรู้เรื่องพระสุพรรณกัลยาอย่างกว้างขวาง เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2542 หลังท่านได้อัญเชิญพระรูปพระสุพรรณกัลยาและสมเด็จพระเอกาทศรถ ไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุดอยเวาเคียงคู่กับพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วหลวงปู่ก็ได้เปรยๆ ว่า


