posttoday

"อากง"ภาค2

14 กุมภาพันธ์ 2556

สิ่งที่สื่อและคนทั่วไปมักลืมคือ"เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบทางกฎหมาย"

โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

มีเสียงวิจารณ์ว่า “อากง” ตกเป็นเหยื่อของ “ขบวนการเกลียดเจ้า” แม้อากงตายไปแล้ว แต่ชื่อของอากงยังถูก “ขาย” ได้อีกเป็นเดือนก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป วันนี้มีเหยื่อรายใหม่ที่ขบวนการนี้ไม่รีรอที่จะเข้าไปใช้ประโยชน์ทันที จะเรียกว่าเป็น “อากง ภาค 2” คงได้

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “วอยซ์ ออฟ ทักษิณ” ถูกศาลอาญาตัดสินเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2556 จำคุก 10 ปี รวม 2 กระทง กระทงละ 5 ปี ในข้อหากระทำผิด มาตรา 112 กฎหมายอาญา ในฐานะบรรณาธิการ ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อการนำเอาบทความที่กล่าวกันว่าเป็นของคนหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศมาตีพิมพ์ ที่ตำรวจ อัยการ ศาล เห็นพ้องกันว่าผิดกฎหมายชัดเจน

หลังจากนั้น ขบวนการเกลียดเจ้าก็เริ่มงานทันที โดยเคลื่อนไหวทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศนั้น นอกจากเคลื่อนไหวผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อแนวร่วมแล้ว ยังพยายามแสวงประโยชน์จากงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ โดยหาทางแทรกเข้าไปในขบวนพาเหรด และเอาป้ายผ้าขนาดใหญ่ไปขึงที่อัฒจันทร์ด้านคนดู เพราะรู้ว่าสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ต้องถ่ายภาพและตีพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นซึ่งก็เป็นความจริง เป็นการอาศัยจังหวะเวลาโฆษณาชวนเชื่ออย่างได้ผลโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

อย่างไรก็ดี ด้วยตระหนักว่าสื่อในไทยคงไม่สนใจที่จะเล่นเกมนี้นัก ขบวนการพวกนี้จึงเน้นไปที่การใช้องค์กรและสื่อต่างประเทศเพื่อให้เผยแพร่ไปทั่วโลกและใช้ต่างประเทศกดดันรัฐบาลอีกที โดยเราจะเห็นได้จากการไปยื่นคำร้องต่อ “สำนักงานสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย” ซึ่งต่อมาได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาว่าทางการได้ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชน ตามด้วยการจัดสัมมนาเรื่อง มาตรา 112 กับหลักการเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จนถูกคนไทยกลุ่มหนึ่งไปประท้วง

แผนการขั้นต่อมาคือเอาคำถามไปยัดปาก นายฌอง มาร์ก เอโรต์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ระหว่างการให้สัมภาษณ์ผลการเยือนไทย นักข่าวบางคนตั้งคำถามทำนองว่า ฝรั่งเศสมีกฎหมายแบบมาตรา 112 หรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อหรือไม่ ทำนองนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสไม่มีทางตอบเป็นอย่างอื่นได้ ยังดีที่ คุณรสนา โตสิตระกูล วุฒิสมาชิก และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ออกมติติงนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสที่ไม่ค่อยรู้จักกาลเทศะของความเป็นแขกที่มาเยือน แต่มาพูดในสิ่งที่ละเอียดอ่อนและกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ

แล้วประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาล่ะ มีปฏิกิริยาในเรื่องนี้อย่างไร ท่านทูตคริสตี เคนนีย์ ระมัดระวังมากขึ้นจากการที่เคยโดนคนไทยจวกมาก่อนนี้แล้วในฐานะที่ไม่รู้กาลเทศะที่บังอาจวิจารณ์พาดพิงสถาบันสูงสุด แต่คราวนี้ไปโผล่ที่ทำเนียบขาว เมื่อนางวิกตอเรีย นูแลนด์ โฆษกทำเนียบขาวถูกนักข่าวคนหนึ่งถามเรื่องนายสมยศถูกศาลตัดสินจำคุกตามมาตรา 112 โดยใช้ประเด็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อ เธอตอบว่า สหรัฐมีความห่วงใยต่อการตัดสินคดีดังกล่าว และจะกระตุ้นให้ทางการไทยพิทักษ์เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามพันธกรณี ไม่ควรมีใครถูกจำคุกในกรณีแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ

สิ่งที่เกิดขึ้นที่มีการตั้งคำถามกับโฆษกทำเนียบขาว คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ต้องมีการวางแผนและประสานงานกันอย่างดีระหว่างผู้สื่อข่าวในสหรัฐกับในไทย เพื่อยืมปากของโฆษกทำเนียบขาวพูดซึ่งจะมีน้ำหนักมากขึ้นและแพร่ไปทั่วโลก

สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำไทยลงมาเล่นกับเขาด้วยเช่นกัน โดยออกแถลงการณ์เมื่อ 6 ก.พ. 2556 เริ่มต้นว่า “คณะกรรมการ (สโมสร) อยู่ในภาวะกดดันเพื่อให้ประณามคำพิพากษาในคดีของนายสมยศ ในขณะที่คณะกรรมการมีความเห็นที่ไม่เป็นเอกฉันท์ในคดีทางกฎหมาย...” คำถามคือใครกดดัน ภายนอกหรือภายใน ทำให้กรรมการหลายคนคงไม่สบายใจนักที่จะต้องออกมาประณามคำพิพากษาในคดีนี้ ซึ่งอาจถูกมองว่าเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย

ในประเด็นความเห็นเอกฉันท์ที่ว่า “การนำเอามาตรา 112 มาข่มขู่เพื่อจำกัดเสรีภาพของสื่อในการไม่ให้ตีพิมพ์ทัศนะทางการเมืองที่ตรงกันข้าม เป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น” นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เราก็ไม่เห็นด้วยหากมีการกระทำเช่นนั้น โดยเฉพาะการใช้กฎหมายด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ กลั่นแกล้งกัน ใช้ฟุ่มเฟือย แต่ใครทำผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด ใครใช้เสรีภาพนั้นก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย ไม่ว่าฝรั่งหรือไทยต่างก็ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งเป็นกติกาของสังคมนั้นๆ

จากกรณีข้างต้น เห็นได้ว่าสื่อถูกชี้นำให้เล่นในประเด็น “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในระบอบประชาธิปไตย เพราะถ้าไปเล่นมาตรา 112 โดยตรงอาจถูกต่อต้าน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่สื่อและคนทั่วไปมักลืมคือ “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบทางกฎหมาย” เพราะไม่มีเสรีภาพที่ไร้ขอบเขต การใช้เสรีภาพต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายผู้อื่นเป็นเรื่องผิดกฎหมายในทุกประเทศ ถ้าใช้เสรีภาพเกินขอบเขตก็ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี โดยให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ต่างชาติไม่ควรแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมของไทย หากเห็นว่าศาลตัดสินไม่ถูกก็สามารถวิจารณ์ได้ในเชิงวิชาการ

กฎหมายถูกออกแบบมาให้เหมาะกับประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ลัทธิความเชื่อของสังคมนั้น ไม่อาจบอกได้ว่ากฎหมายของใครดีกว่ากัน เพราะกฎหมายไทยก็ถูกออกแบบให้เหมาะกับสังคมไทย สำหรับสถาบันสูงสุดและองค์พระประมุขของประเทศ ซึ่งไม่สามารถไปฟ้องร้องสู้รบปรบมือกับใครได้ ก็ต้องมีเครื่องมือในการปกป้องคุ้มครองพระองค์ท่านในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าประมุขประเทศไหนย่อมได้รับการคุ้มครองมากกว่าคนทั่วไป

สำหรับการลงโทษนั้นหากเห็นว่ามากเกินไป ก็ควรไปผลักดันให้สภาผู้แทนราษฎรแก้ไขกฎหมายเอาเอง เพราะศาลตัดสินตามกฎหมายที่สภาออก

ความจริงคดีนี้เห็นค่อนข้างชัดเจน และศาลก็ตัดสินอย่างไม่ลำบากใจ อากง ภาค 2 เดินหน้าต่อลำบาก

มีผู้สื่อข่าวฝรั่งตาน้ำข้าวคนหนึ่งดูเดือดเนื้อร้อนใจเหลือเกินที่สโมสรไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ เขาพยายามผลักดันให้สโมสรท้าทายต่อมาตรา 112 ซ้ำยังไปไกลถึงขนาดคุยว่า ในซีเรียและเกาหลีเหนือยังมีเสรีภาพมากกว่าเมืองไทย ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ขอสำนักงานใหญ่ไปประจำทำข่าวอยู่ในเกาหลีเหนือเสียเลย ซึ่งบางทีเขาอาจจะเขียนวิพากษ์วิจารณ์ คิมจองอึน อย่างเสรีก็ได้

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา