ซัดบัวแก้วแจงข้อมูลพระวิหารไม่ชัดหวั่นกระทบชาติ
“คำนูณ”จวกบัวแก้วให้ข้อมูลไม่กระจ่างกรณีคำอธิบาย“สันปันน้ำ” เกรงกระทบผลประโยชน์ชาติ หวั่นแจงไม่เคลียร์ไทยต้องรับอำนาจศาลโลก
“คำนูณ”จวกบัวแก้วให้ข้อมูลไม่กระจ่างกรณีคำอธิบาย“สันปันน้ำ” เกรงกระทบผลประโยชน์ชาติ หวั่นแจงไม่เคลียร์ไทยต้องรับอำนาจศาลโลก
ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา ได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษมาบรรยายในการสัมมนาวิชาการเรื่อง “ข้อพิพาทพรมแดนไทย - กัมพูชาในเขตอำนาจศาลโลก : ก้าวสำคัญของไทยกับจุดยืน จุดเปลี่ยน และจุดจบ” โดยมีใจความจตอนหนึ่งว่า ขณะนี้จุดยืนของประเทศไทยแตกต่างจากในอดีตมาก แม้ในอดีตประเทศไทยจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่ก็มีจุดยืนที่มีความเฉลียวฉลาด มีภูมิปัญญาในการต่อสู้และยืนหยัดความเป็นจริงมาโดยตลอด
หลังจากนั้น น่าเสียดายว่ามีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของทุกรัฐบาลที่เข้ามา โดยเฉพาะช่วง 15 ปี ให้หลัง ทั้งนี้ มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะนำไปสู่จุดจบอันไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย คือ เอกสาร “50 ปี50 ประเด็น ถาม-ตอบปราสาทพระวิหาร” ที่กระทรวงการต่างประเทศที่เผยแพร่ในเว็บไซต์เมื่อปลายเดือน ม.ค.56 และกำลังจะพิมพ์แจกประชาชนทั่วประเทศในเร็วๆนี้
“เอกสาร 50 ปี 50 ประเด็นฯ เป็นจุดเปลี่ยนที่พลิกจุดยืนของประเทศไทยเมื่อปี 2505 แบบชนิดเอาหัวยืนแทนเท้า เอาเท้าขึ้นมาชูแทนหัว ทำให้สามารถคาดหมายได้ว่า จุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ผมได้พยายามวิงวอนให้รัฐบาลยุติการเผยแพร่เอกสารชิ้นนี้มาโดยตลอด” นายคำนูณ ระบุ
นายคำนูณ ยังได้กล่าวอีกว่า ในเอกสาร 50 ปี 50 ประเด็นฯมีหลายประเด็นที่จะนำพาประเทศไทยถลำลึกในหลุมดำแห่งความเสียเปรียบในการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชาในอนาคต โดยเฉพาะคำนิยามศัพท์สันปันน้ำขึ้นมาใหม่ ซึ่งต่างจากจุดยืนในอดีตถึง 3 ข้อใหญ่ๆ คือ 1.บอกว่าสันปันน้ำอาจไม่ใช่สันเขาหรือขอบหน้าผาก็ได้ 2.บอกว่าปกติต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคในการพิสูจน์หาสันปันน้ำ
3.ไปบอกด้วยว่าบริเวณปราสาทพระวิหารจนถึงบัดนี้ ยังไม่มีการสำรวจสันปันน้ำในภูมิประเทศจริง ทั้งที่เมื่อครั้งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ฝ่ายไทยยืนยันเรื่องหลักเขตแดนโดยอ้างอิงสันปันน้ำซึ่งอยู่ที่หน้าผาไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งเมื่อ 100-200 ปีก่อน ก็ไม่มีเครื่องมือใดๆ แต่ใช้วิธีการเดินสำรวจ
“ไม่ทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศ จะไปนิยามศัพท์คำว่าสันปันใหม่เพื่ออะไร เพราะผลที่ตามมาจะทำให้เส้นเขตแดนที่ไทยเคยยืนยันหายไป เหลือเพียงเส้นเขตแดนที่กัมพูชายืนยัน เพราะเราไปกลับคำของประเทศไทยเมื่อ 50 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง และไปยอมรับว่าไม่เคยมีการสำรวจ ไม่เคยใช้เครื่องมือ และสันปันน้ำอาจจะไม่ใช่หน้าผาก็ได้ ประเด็นนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง และเรื่องนี้อาจใหญ่กว่าคคีที่กำลังพิจาณาอยู่ในศาลโลกด้วยซ้ำ เพราะจะมีผลต่อการเจรจาเขตแดนไทยตลอดแนวช่องบก – ช่องสะงำ ระยะทาง 195 กม. ที่ไม่เคยมีการปักปันเขตแดนมาก่อน” ส.ว.คำนูณ ระบุ
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศกลับไม่เคยให้ข้อมูลแก่คนไทยอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการที่ประเทศๆหนึ่งจะรับเขตอำนาจศาลโลกต้องมีเงื่อนไขอย่างไร และไม่ได้บอกว่าไทยไม่จำเป็นต้องรับเขตอำนาจศาลโลกโดยอัตโนมัติ อีกทั้งไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญารับเขตอำนาจศาลโลกมาแล้วกว่า 50 ปีเศษ ซึ่งอาจจะอ้างว่า ไทยจำเป็นต้องรับผลผูกพันธ์ของศาลโลก เนื่องจากกัมพูชายื่นให้ศาลตีความในคำพิพากษาเดิมตามแต่ในธรรมนูญศาลโลกมาตรา 60 (2) แต่ก็ไม่เคยมาบอกกับคนไทยอีกว่า
นายคำนูณ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีเพียง 4 กรณีที่ยื่นต่อศาลโลกตามมาตรา 60 (2) และระยะเวลานานที่สุดที่ยื่นขอตีความคือ 4 ปีเท่านั้น แต่คดีปราสาทพระวิหารผ่านมาแล้วถึง 50 ปี ซึ่งเป็นจุดที่กระทรวงการต่างประเทศไม่นำไปต่อสู้ แถมยังไประบุไว้ในเอกสาร 50 ปี 50 ประเด็นฯอีกว่า หากศาลโลกมีคำพิพากษาออกมา ประเทศไทยและกัมพูชาในฐานะสมาชิกสหประชาชาติมีพันธะกรณีในการปฎิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกอย่างไม่มีข้อแม้


