posttoday

โทษจำคุก : คุณสมมบัติผู้จะเป็นรัฐมนตรี

30 มกราคม 2556

ขณะนี้มีข้อถกเถียงปัญหาข้อกฎหมาย ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) กรณีคุณวราเทพ รัตนากร ว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่?

ขณะนี้มีข้อถกเถียงปัญหาข้อกฎหมาย ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) กรณีคุณวราเทพ รัตนากร ว่ามีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่?

ซึ่งมีสื่อมวลชนสอบถามความเห็นเข้ามามาก ในฐานะที่ผู้เขียนเคยมีส่วนร่วมในการเขียนรัฐธรรมนูญ ปี 2540 และมาตรา 2550 มาแล้ว

ผู้เขียนจึงได้เสนอความเห็น ในทางวิชาการโดยไม่มีส่วนได้เสีย หรือไม่มีเกี่ยวข้องกับผู้ใด ดังนี้

ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

“(5) ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีก่อนได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ”

อธิบายคุณสมบัติของคนจะเป็นรัฐมนตรี เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 174 แต่คนที่เป็นรัฐมนตรีอยู่แล้ว จะพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182

กรณี จึงมีข้อที่ต้องพิจารณา รัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) ใน 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

ประเด็นแรก คำว่า “ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก”

ประเด็นที่ 2 คำว่า “โดยได้พ้นโทษมา”

ประเด็นแรก คำว่า “ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีก่อนได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 174 (5)

คำว่า “ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก” นั้น มีหมายความว่าจะต้องมีการจำคุกจริง คือ การนำตัวจำเลยไปควบคุมไว้ในเรือนจำ ดังนั้น การที่จำเลยถูกศาลพิพากษาให้จำคุก แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษ จึงต้องถือว่าการรอการลงโทษนั้นจำเลยยังมิได้ถูกจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

คำว่า “ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก” ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) มีถ้อยคำที่แตกต่างกับข้อความในมาตรา 182 ที่บัญญัติว่า “ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ (3) “ต้องคำพิพากษาให้จำคุก” ที่ความหมายว่า เพียงแค่ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกเท่านั้น ความเป็นรัฐมนตรีก็สิ้นสุดลงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 182 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 มีการเพิ่มข้อความให้มีความชัดเจนขึ้นที่ว่า “เมื่อมีคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ” ความเป็นรัฐมนตรีก็สิ้นสุดลงแล้ว เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่สิ้นสุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท คล้ายๆ กับ สส. และ สว.ที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (11) และมาตรา 119 (8)

ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (4) ที่กำหนดลักษณะต้องห้ามไว้ว่าจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 102 (4) “ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังโดยหมายของศาล” คือต้องติดคุกจริงๆ จึงเป็นลักษณะต้องห้ามที่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้

ประเด็นที่ 2 คำว่า “โดยได้พ้นโทษมา”

ซึ่งในเรื่องของการ “พ้นโทษ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ถ้าและได้กระทำความผิดใดๆ อีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษก็ดี หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึงจำคุก ก็ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้นั้น หนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง” ซึ่งหมายความว่า การจะเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดได้ โทษที่กระทำผิดในคดีก่อนนั้นจะต้องมีการลงโทษจำคุกจริง มิฉะนั้น เมื่อมากระทำผิดในคดีหลังจะมีการเพิ่มโทษไม่ได้

ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 786/2502 กระทำผิดอาญาขึ้นอีกในระหว่างที่รอการลงโทษจำคุกไว้นั้น จะเพิ่มโทษตาม มาตรา 92 ไม่ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 2104/2511 จำเลยเคยถูกลงโทษจำคุก แต่ศาลรอการลงโทษไว้ ย่อมไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเป็นการเพิ่มโทษได้ แม้จำเลยจะทำผิดขึ้นอีกภายในห้าปี นับแต่วันครบกำหนดรอการลงโทษก็เพิ่มโทษมิได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 1274/2519 ระหว่างรอการลงโทษไม่เรียกว่าจำเลยพ้นโทษไปแล้ว

คำว่า “โดยได้พ้นโทษมา” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 174 (5) จึงต้องมีการรับโทษจำคุกจริงมาก่อน การที่ในคดีก่อนศาลมีคำพิพากษาให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษมาก่อน เท่ากับว่า “ยังไม่มีการได้รับโทษ” เมื่อยังไม่ได้รับโทษมาก่อน ย่อมไม่มีวันพ้นโทษ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2104/2511

นอกจากนี้ ในคดีที่ศาลมี “คำพิพากษาให้จำคุก โดยให้มีการรอการลงโทษ” จึงไม่มีการจำคุกจริง เท่ากับว่าการที่ “ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) และเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้รอการลงโทษ เท่ากับว่ายังไม่มีการรับโทษจำคุกจริงๆ ซึ่งเมื่อไม่มีการรับโทษจำคุกจริงมาก่อน จึงไม่มีวันพ้นโทษ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) ดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจนับวันพ้นโทษยังไม่ถึงห้าปีก่อนได้รับการแต่งตั้งได้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2104/2511 และฎีกาที่ 1274/2519ข้างต้น

โดยสรุป ในเรื่องของคุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีได้หรือไม่นั้น หากบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก โดยไม่มีการถูกจำคุกจริงๆ ประการหนึ่ง และเป็นกรณีที่ไม่มีวันพ้นโทษ กรณีจึงไม่อาจนับวันพ้นโทษได้ อีกประการหนึ่ง บุคคลดังกล่าวจึงสามารถเป็นรัฐมนตรีได้ ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 174 (5) แต่อย่างใด

ความเห็นนี้เป็นความเห็นทางวิชาการ ตามเหตุผล หลักการ คือ หลักการ ไม่ได้พิจารณาที่ตัวบุคคลแต่อย่างใด โดยทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยเป็นเด็ดขาดในวันที่ 1 ก.พ.นี้

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์