ไประลึกชาติที่ศรีลังกา(8)
ที่กรุงแคนดีมีวัดสำคัญเกี่ยวกับประเทศไทยอยู่วัดหนึ่ง คือ วัด “บุปผาราม” ที่ซึ่งพระอุบาลีได้ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกาจนมั่นคงสืบมาตราบปัจจุบัน
ที่กรุงแคนดีมีวัดสำคัญเกี่ยวกับประเทศไทยอยู่วัดหนึ่ง คือ วัด “บุปผาราม” ที่ซึ่งพระอุบาลีได้ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกาจนมั่นคงสืบมาตราบปัจจุบัน
พระพุทธศาสนาในศรีลังกาเคยรุ่งเรืองหลายยุคหลายสมัยจนเป็นหลักสำคัญของเถรวาทนิกาย แต่ก็เสื่อมทรุดลงเกือบสูญสิ้นไปจากแผ่นดินลังกา สาเหตุสำคัญการเสื่อมเกิดจากปัจจัยภายนอกและภายใน โดยปัจจัยภายในเกิดจากการหย่อนยานในพระวินัยของพระภิกษุสงฆ์เอง ที่นอกจากยอมประนีประนอมกับความเชื่อของพราหมณ์แล้ว ยังมีการหมกมุ่นในเดรัจฉานวิชาไม่ศึกษาพระธรรมวินัยให้แตกฉานและไม่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชน
สำหรับปัจจัยภายนอก นอกจากการถูกคุกคามทำลายโดยผู้ปกครองที่เป็นทมิฬแล้ว กษัตริย์สิงหลบางพระองค์ที่เปลี่ยนไปนับถือฮินดู ยังกลับมาทำลายพระพุทธศาสนาอย่างโหดร้ายทารุณ เช่น พระเจ้าราชสิงหะที่ 1 (พ.ศ. 2124-2136) ซึ่งสั่งเผาวัดวาอาราม เผาคัมภีร์ทางศาสนา ฆ่าพระสงฆ์อย่างโหดเหี้ยม จนพระต้องหลบหนีหรือสึกหนีภัยไปหมด
ในส่วนของฝรั่งต่างชาติ เริ่มจากโปรตุเกสที่เริ่มจากเข้ามาค้าขาย ต่อมาก็เริ่มคุกคาม โดยฝ่ายลังกาเองที่แตกแยกรบราฆ่าฟันกันเอง บางพวกก็ “ชักศึกเข้าบ้าน” ดึงเอาโปรตุเกสเป็นพวก แต่ในที่สุดก็ “คุม” ไม่ได้ และกลับเป็นฝ่ายโปรตุเกสเข้ามามีอำนาจเหนือกษัตริย์ลังกาบางพระองค์ และเผยแผ่ศาสนาโดยใช้อำนาจบีบบังคับให้คนเข้ารีตเป็นคริสต์ รื้อเผาทำลายวัด ออกกฎหมายบังคับให้ชาวพุทธต้องเสียภาษีมากกว่าชาวคริสต์
ต่อมาฝ่ายลังกาก็ใช้วิธีคบหาพวกดัตช์เพื่อต้านและขับไล่พวกโปรตุเกสออกไปได้ หลังจากที่ถูกพวกโปรตุเกสมีอิทธิพลกดขี่รังแกอยู่นานถึง 135 ปี ต่อมาพวกดัตช์ก็เริ่ม “ทวงบุญคุณ” จนต้องรบราฆ่าฟันกัน ที่สุดสามารถเจรจา “สงบศึก” กันได้ เมื่ออังกฤษเข้ามาก็มีผู้ปกครองลังกาบางพวกคบหาดึงอังกฤษมาเป็นฝ่ายตนจนในที่สุดก็เสียเอกราชให้แก่อังกฤษ
ความพยายามที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2140 หลังรัชสมัยพระเจ้าราชสิงหะที่ 1 มีการส่งราชทูตไปของพระภิกษุจากพม่ามาบวชกุลบุตรชาวสิงหล ณ โบสถ์ในแม่น้ำริมฝั่งมหาเวลิ คงคา ในกรุงแคนดี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ผู้บวชซึ่งมาจากชนชั้นสูงทั้งสิ้นพากันลาสิกขาบทหมด
ต่อมามีความพยายามอีกครั้งในสมัยพระเจ้าวิมลธรรมสุริยะที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2240 มีการส่งราชทูตไปนิมนต์พระสงฆ์ 34 รูปจากพม่ามาบวช ณ สถานที่เดิม คือ ที่แคฏัมเบ นทีสีมา ในแม่น้ำมหาเวลิ คงคา เหมือนเดิม มีกุลบุตรชาวสิงหลมาบวช 30 คน ซึ่งต่อมาก็ลาสิกขาบทไปจนหมดสิ้น
การฟื้นฟูพุทธศาสนาในศรีลังกามาสำเร็จในความพยายามครั้งที่ 3 โดยบุคคลสำคัญสองท่าน คือ ท่านสามเณรสรณังกรแห่งลังกา และท่านอุบาลีมหาเถระจากราชอาณาจักรสยาม
ท่านสรณังกรเดิมนามว่า กุลตุงเค เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2241 ณ หมู่บ้านแวลิวัฏฏะ ห่างกรุงแคนดีออกไป 7 กม. บรรพบุรุษเคยเป็นขุนนางชั้นสูง ท่านมีศรัทธาในพุทธศาสนาแก่กล้ามาแต่เด็กจนได้บวชเป็น “คณินนานเส” เมื่ออายุได้ 16 ปี เมื่อทราบว่าหากจะศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้ง จะต้องเรียนรู้ภาษาบาลีเป็นพื้นฐาน ท่านก็บากบั่นเดินทางไปเสาะหาครูบาอาจารย์ศึกษาจนแตกฉาน
ต่อมาท่านได้ตั้ง “คณะศีลวัตร สมาคม” ศึกษาธรรมวินัยและปฏิบัติตามพุทธบัญญัติอย่างเคร่งครัดจนเป็นที่ศรัทธาของประชาชนอย่างกว้างขวาง ทำให้ถูกอิจฉาริษยาจากบรรดาคณินนานเสอาวุโส จนมีการฟ้องร้องต่อพระเจ้าแผ่นดินซึ่งตัดสินให้ท่านผิด และเนรเทศท่านไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่ท่านยังคงศึกษาปฏิบัติตามธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด จนเกิดเหตุมีสันยาสีซึ่งเป็นปราชญ์จากอินเดียเดินทางมาทดสอบความรู้ปราชญ์ในราชสำนัก ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดมีความรู้พอจะต้านทานได้ จนมีผู้ทูลแนะนำให้หาท่านสรณังกรเข้ามาเสวนากับปราชญ์ท่านนั้นต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้านเรนทรสิงหะจึงทรงประจักษ์ความจริงหันมาสนับสนุนท่านสรณังกร โดยบรรดาคณินนานเสอาวุโสทั้งหลายก็กลับมายอมรับท่าน
ท่านสรณังกรจึงมีโอกาสได้เริ่มการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการจัดการศึกษาด้วยการสร้างสถาบันการศึกษาขึ้นจนมีผู้รู้ในพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาท่านเสนอให้มีการบวชกุลบุตรชาวลังกาอย่างถูกต้องตามพระวินัย เริ่มจากส่งคณะทูตไปยังอินเดียและพม่า พบว่าพุทธศาสนาในอินเดียสูญสิ้นไปนานแล้ว
ส่วนในพม่าก็กำลังตกต่ำ ในที่สุดจึงส่งคณะทูตเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาตามคำแนะนำของพ่อค้าชาวดัตช์ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงจัดพระสงฆ์ 24 รูป นำโดยพระอุบาลีมหาเถระเดินทางไปพร้อมกับเรือพ่อค้าชาวฮอลันดา คณะของท่านอุบาลีต้องประสบปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่ในที่สุดก็เดินทางไปถึงลังกาจนได้
จากนั้นได้อุปสมบทชาวศรีลังกาเป็นพระภิกษุ 700 รูป บรรพชาเป็นสามเณรอีก 3,000 รูป เกิดคณะสงฆ์สยามนิกาย หรืออุบาลีวงศ์ขึ้น ต่อมาพระอุบาลีมหาเถระได้กราบบังคมทูลให้พระมหากษัตริย์ศรีลังกาสมัยนั้น คือ พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ จัดระบบการปกครองคณะสงฆ์ขึ้น โดยมีท่านสรณังกรเป็นสมเด็จพระสังฆราช การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในศรีลังกาจึงสำเร็จและมีรากฐานมั่นคงมาตั้งแต่บัดนั้น
วัดที่พระอุบาลีไปจำพรรษาอยู่ในศรีลังกา คือ วัดบุปผาราม ปัจจุบันเรียกว่า วัดมัลวัตตะ กุฏิของท่านเป็นห้องเล็กๆ ขนาดประมาณ 3 x 3 เมตร โบสถ์หรือที่ศรีลังกาเรียกว่า “สีมา” หลังหย่อมๆ แต่ได้สร้างประวัติศาสตร์พุทธศาสนาหน้าสำคัญบนแผ่นดินศรีลังกา
ที่หน้าโบสถ์ปัจจุบันมีรูปหล่อโลหะของท่านสรณังกรและพระอุบาลีมหาเถระ สร้างโดยคณะผู้ศรัทธาชาวไทย สีทองเหลืองอร่าม งามจับตา จับใจ


