จีน : มหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก?
จากการเปิดเผยของนักวิชาการชื่อดังอย่าง อาร์วินด์ ซูบราเมเนียน แห่งสถาบัน Peterson Institute For International Economics ล่าสุดพบว่าประเทศจีนได้แซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นที่ 1 ของโลกด้านความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่ง อาร์วินด์ บอกว่าของจีนปัจจุบันมากกว่าสหรัฐ
จากการเปิดเผยของนักวิชาการชื่อดังอย่าง อาร์วินด์ ซูบราเมเนียน แห่งสถาบัน Peterson Institute For International Economics ล่าสุดพบว่าประเทศจีนได้แซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นที่ 1 ของโลกด้านความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่ง อาร์วินด์ บอกว่าของจีนปัจจุบันมากกว่าสหรัฐ
ขณะที่องค์การระหว่างประเทศอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ก็ต่างออกมาประมาณการกันว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจีนจะแซงสหรัฐขึ้นเป็นที่ 1 ด้านความเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกได้อย่างไม่ยากเย็น
โดยข้อเท็จจริงแล้ว ปัจจุบันจีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐ (เมื่อพิจารณาจากตัวเลขจีดีพีเป็นหลัก) และยังเป็นประเทศที่มีการทุ่มงบประมาณรายจ่าย เพื่อการทหารมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ
จากองค์ประกอบหลักข้างต้น 2 ประการ ทำให้นักวางแผนและออกแบบนโยบายต่างประเทศของหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งสหรัฐเริ่มวิตกกันว่า “จีนอาจจะกลายเป็นประเทศที่สร้างความน่าสะพรึงกลัว และเป็นภัยคุกคามให้แก่เวทีเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศในอนาคตอันใกล้” โดยผู้นำหลายประเทศเกรงว่าจีนจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่ยังขาดวุฒิภาวะ (Premature Superpower) และอาจกระทบต่อการขาดความรับผิดชอบในหลายๆ เรื่อง หรือประเด็นที่เกี่ยวพันกับความเป็นไปและความมั่นคงของโลก โดยเฉพาะเรื่องการค้า สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ถ้าพิจารณาตามรูปการณ์ทั่วไป ก็จะดูเหมือนว่าจีนอาจเป็นประเทศที่น่ากลัวเหมือนอย่างที่หลายๆ คนคิด แต่ถ้าพิจารณาตามหลักการและพื้นฐานของข้อมูล และสภาพความเป็นจริงบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน หลายท่านอาจพบว่าการที่จีนก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ 1 หรือเบอร์อะไรก็ตาม อาจจะส่งผลดีต่อโลกของเรามากกว่าผลลบก็เป็นได้
จากพื้นฐานของข้อมูลและการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันจะพบว่า 1) โลกของเราปัจจุบันแบ่งออกเป็นโลกที่อยู่ในลักษณะของความเป็นหลายขั้วอำนาจ ไม่ใช่โลกที่ถูกชี้นำโดยสหรัฐ หรือสหภาพโซเวียตเหมือนในอดีต และหนึ่งในขั้วอำนาจทรงพลังในปัจจุบันก็ได้แก่ จีน แต่ถ้าจะพูดว่าโลกปัจจุบันอยู่ในลักษณะของความเป็น 2 ขั้วมหาอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐ ก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะยังมียุโรป อินเดีย และรัสเซีย ที่ไม่สามารถมองข้ามได้
สภาวะโลกหลายขั้วทำให้จีนต้องเคารพกติการะหว่างประเทศ และจะไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้ตามอำเภอใจ นั่นก็หมายความว่าโอกาสที่จีนจะสร้างความโดดเด่นและความเป็นมหาอำนาจทางทหารจะมีไม่มาก องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) หรือแม้กระทั่งองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ยังคงมีบทบาทเหนือการตัดสินใจของผู้นำจีนบนเวทีการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจีนจะมีขีปนาวุธมากมายเท่าใด หรือทรงอานุภาพสักเพียงใด การดำเนินการใดๆ ทางการทหารอันอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศอื่นๆ ย่อมทำได้ไม่ง่ายนัก
2) โลกปัจจุบันของเราเป็นโลกที่อยู่ในระบบของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคง การมีพฤติกรรมนักเลงหรือหยิ่งยโส หรือทำตัวเป็นภัยคุกคาม ย่อมไม่ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากสังคมโลก และที่สำคัญก็คือ ถ้าจีนจะยกระดับตนเองก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกแทนที่สหรัฐ จีนจะต้องสร้างพันธมิตรที่มั่นคงและถาวรอีกมากมายเท่าไรจึงจะเทียบชั้นสหรัฐ เราต้องไม่ลืมว่าแม้กระทั่งในทวีปเอเชียด้วยกัน จีนยังถูกมองจากหลายประเทศว่า “เป็นภัยคุกคาม” ล่าสุดเห็นได้จากกรณีพิพาทแย่งชิงหมู่เกาะทะเลจีนตะวันออกกับญี่ปุ่น และการแย่งชิงดินแดนในทะเลจีนใต้กับอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยังหาทางออกไม่ได้ เป็นต้น
ผู้เขียนกลับมองว่านับแต่นี้ไปจีนจะถูกบริบทการเมืองระหว่างประเทศบีบบังคับให้กลายเป็นประเทศที่ต้องสร้างมิตรและทำดีกับประเทศอื่นๆ ในโลกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต้องพยายามหลีกเลี่ยงข้อพิพาททางการเมืองให้มากที่สุดเช่นเดียวกัน 3) ถ้าพิจารณาจากนโยบายการพัฒนาประเทศของจีน (ที่เรียกสั้นๆ ว่าแผน 5 ปี) ปัจจุบันเราจะพบว่าจีนหันมาสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่าการเน้นการส่งออกเหมือนในอดีต เนื่องจากประเทศที่นำเข้าสินค้าจากจีน เช่น สหรัฐหรือยุโรป ต่างประสบปัญหาทางเศรษฐกิจกันแทบทั้งสิ้นในรอบ 35 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการทุ่มเทการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศจึงเป็นเรื่องที่ผู้นำจีนชุดใหม่ให้การเอาใจใส่มากกว่าการคิดถึงความเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก
4) ผู้นำของจีนยุคใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเข้าใจความเจริญและการพัฒนาแบบตะวันตก เพราะฉะนั้นจีนยังต้องพึ่งพาวิทยาการและความก้าวหน้าจากตะวันตกอีกมาก และอีกนานจนกว่าจะสามารถพึ่งพาตนเองอย่างเป็นเอกเทศได้ เราต้องไม่ลืมว่าผู้นำจีนต่างมีความรู้และความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างดี แต่การรักษาไว้ซึ่งอำนาจทำให้จำเป็นต้องรักษาไว้ซึ่งระบอบความเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
และ 5) จากประวัติศาสตร์ความเป็นชาติจีนที่ผ่านศึกสงครามมานาน ผู้เขียนเชื่อว่าจีนไม่มีความคิดที่จะรบกับใครอีก (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ) แต่จะเน้นการค้ามากกว่า เพราะฉะนั้นหลายประเทศในโลกรวมทั้งประเทศไทย ควรคิดว่า “จะทำอย่างไรให้ค้าขายเก่งเท่าคนจีน” จะดีกว่าคิดทำอย่างอื่น


