posttoday

คำคม

01 มกราคม 2556

ปีใหม่นี้ผมได้รับของขวัญถูกใจจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ชื่อ “คำคม” ซึ่งเป็นหนังสือที่พิมพ์ไว้แจกไม่วางขาย ยิ่งอ่านยิ่งได้แง่คิดรู้ว่าทำไมบางครั้งชีวิตถึงประสบความสำเร็จและหลายๆ ครั้งประสบความล้มเหลว

ปีใหม่นี้ผมได้รับของขวัญถูกใจจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ชื่อ “คำคม” ซึ่งเป็นหนังสือที่พิมพ์ไว้แจกไม่วางขาย ยิ่งอ่านยิ่งได้แง่คิดรู้ว่าทำไมบางครั้งชีวิตถึงประสบความสำเร็จและหลายๆ ครั้งประสบความล้มเหลว

หนังสือเล่มนี้เรียบเรียงคำคม ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นคำคมหรือสุภาษิตจีน ที่นำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทย อ่านได้ความกระชับและได้ใจความ และได้อรรถรสด้านภาษาเป็นอย่างดี เสียดายว่าผมอ่านภาษาจีนไม่ออก ไม่อย่างนั้นคงได้ความประทับใจมากกว่านี้ เพราะผู้ใหญ่ที่ให้หนังสือเล่มนี้กับผมได้อ่านสุภาษิตจีนให้ผมฟังแล้วก่อนแปลเป็นไทย ถึงจะฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่อง แต่ความคล้องจองของสุภาษิตก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกถึงความหมายของคำคมที่ว่ามากกว่าการอ่านคำแปลภาษาอังกฤษหรือไทย

ก็ขออนุญาตท่านผู้เรียบเรียงนำเนื้อหาของหนังสือมาเล่าสู่กันฟังกับท่านผู้อ่านในเทศกาลปีใหม่ ผมยังไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นผู้เรียบเรียง เพราะท่านระบุไว้เพียงว่าเรียบเรียงโดยสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยประเทศจีน และชมรมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเซี่ยเหมินในประเทศไทยถึงจะไม่มีคำสงวนลิขสิทธิ์ใดๆ ก็ตาม

หนังสือเล่มนี้แบ่งคำคมออกเป็นภาคๆ ตามหลักการดำรงชีวิตที่ทุกคนควรมี ภาคที่ 1 ได้แก่ หมวดอุดมการณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะขาดแคลนสำหรับผู้คนประเทศนี้ในปัจจุบัน สุภาษิตในหมวดนี้มีอยู่หลายสิบสุภาษิตด้วยกัน ผมขอยกมาเป็นตัวอย่างดังนี้

“ชีวิตทุกชีวิตคือเรือลำน้อย ที่มีใบเรือเป็นอุดมการณ์”

“ฝั่งหนึ่งคือความเป็นจริง ส่วนอีกฝั่งคืออุดมการณ์ กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากไหลขวางกั้น การกระทำคือสะพานเชื่อมสองฟากฝั่ง”

คำคม 2 คำนี้ ถ้าท่านฟังต้นฉบับภาษาจีนแล้ว นอกจากจะได้รับแง่คิดแล้วยังจะได้รับความซาบซึ้งของความไพเราะด้านภาษาของสุภาษิตจีนคู่กันไปด้วย ถึงท่านจะไม่รู้ภาษาจีนเลยก็ตาม นอกจากนั้นท่านยังบอกว่า “จงอย่าโอ้อวดความสามารถแห่งตนเมื่อรู้สึกภาคภูมิใจเพียงชั่วครู่ และจงอย่าสูญสิ้นกำลังใจเมื่อรู้สึกเสียใจเพียงชั่วขณะ” สำหรับคนที่เคยผ่านชีวิตมามาก บางครั้งถูกปฏิบัติถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมในความรู้สึกของตัวเอง สุภาษิตนี้คงช่วยได้มาก ก็ขอฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านลองเก็บไว้คิดครับ

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน ผมขอฝากสุภาษิตในหนังสือเล่มนี้ให้ท่าน 2 สุภาษิตครับ สุภาษิตแรกท่านกล่าวว่า “ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ห่างไกล คือความปรารถนาอันสูงสุดของฉัน ถึงฉันไม่สามารถเอื้อมไปไขว่คว้าพวกมัน แต่ฉันก็สามารถชื่นชมความงามของพวกมัน พร้อมกับเชื่อมั่นและก้าวไปตามครรลองพวกมัน” เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า “ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งใด สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการกำหนดเป้าหมาย” และท้ายสุดสำหรับคนรุ่นผมมีสุภาษิตให้สร้างกำลังใจว่า “ม้าแก่ในคอกยังคงฝันถึงการวิ่งตะบึงพันลี้ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของวีรชนชราจักไม่มีวันเสื่อมถอย” ตรงนี้ถ้าเติมภาษาแชตต้องเติมเลข 5 ไปตอนท้ายอีก 5 ตัว 55555

สำหรับหมวดที่ 2 ได้แก่ หมวดความหวัง ท่านกล่าวไว้ว่า “ความหวังคือสายน้ำแห่งชีวิต หากไร้ซึ่งความหวัง ชีวิตก็จะเหี่ยวแห้ง” และ “คนที่เปี่ยมด้วยความหวังมองเห็นความสำเร็จ ในขณะที่ผู้อื่นมองเห็นความล้มเหลว ยามที่ผู้อื่นมองเห็นพายุฝนที่โหมกระหน่ำ พวกเขากลับมองเห็นแสงตะวันอันเรืองรอง”

หมวดนี้คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม เพราะคนเราที่ไม่มีความหวัง ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม สำคัญความหวังไม่จำเป็นต้องหวังรวย หวังยศ หวังตำแหน่ง ตอนนี้ผมแค่หวังจะเห็นหน้าหลานคนแรกที่ MADE IN USA เท่านั้นแหละครับ

หมวดต่อไป เป็นหมวดที่สะท้อนความเป็นคนช่างเขียน ช่างคิด ช่างอ่านของคนจีน ได้แก่ หมวดการอ่าน ท่านกล่าวว่า “หนังสือคือที่ปรึกษาใกล้ตัว” “หนังสือและเพื่อนไม่จำเป็นต้องมีมากแต่ต้องดี” และที่สำคัญท่านเตือนว่า “หนังสือทุกเล่มมีไว้เพื่อช่วยเสริมสร้างความคิด หากไม่ได้มีไว้เพื่อแทนที่ความคิดของคุณ” ใครที่ชอบอ้างฝรั่ง อ้างตำรา น่าจะเก็บสุภาษิตนี้ไปใช้ และที่ผมชอบท่านว่า “หนังสือไม่ได้มีไว้เพื่อประดับบ้าน แต่ไม่มีเครื่องประดับชิ้นไหนจะงดงามเท่าหนังสือ” กับ “หากคุณมีสวนสักแห่ง กับห้องสมุดสักห้อง คุณก็มีทุกสิ่งที่คุณต้องการ”

ผมขอจบหมวดนี้ด้วยสุภาษิตว่า “วัยเยาว์อ่านหนังสือเหมือนแอบมองพระจันทร์ผ่านช่องหน้าต่าง วัยกลางคนอ่านหนังสือดั่งแหงนมองพระจันทร์ใต้ลานบ้าน วัยชราอ่านหนังสือเหมือนดั่งชมพระจันทร์อยู่บนหอคอย” สุภาษิตนี้ขอบอกว่าจริงที่สุด ถ้าท่านลองไปหยิบหนังสือพงศาวดาร หรือวรรณคดีที่เคยอ่านสมัยเด็กมาอ่านใหม่

ถัดไปเป็นหมวดวิชาความรู้ ท่านกล่าวไว้ว่า “ความรู้เปรียบเสมือนสายน้ำใต้ผืนพิภพ ยิ่งขุดลึกลงไปเท่าไร น้ำก็ยิ่งใสขึ้นเท่านั้น” และที่เหมาะที่สุดสำหรับระบบการศึกษาในบ้านเราคือ “เรียนโดยไม่คิดไร้ประโยชน์ คิดโดยไม่เรียนอันตราย” กับ “ความไม่รู้ในความไม่รู้ของตนเป็นความโง่เขลาเท่าทวี” และ “ความสำเร็จ ทำหน้าที่เป็นเสาค้ำยันของผู้ถ่อมตัว แต่สำหรับผู้หยิ่งยะโส ความสำเร็จทำหน้าที่เป็นดั่งกระดานลื่น” และสำหรับคนรุ่นผมอีก “สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ วัยชราคือฤดูหนาว แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้ มันคือฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว” 55555

หมวดถัดไปที่ต่อเนื่องกันคือ หมวดการศึกษาท่านกล่าวไว้เหมาะกับสภาพการบ้านการเมืองบ้านเราว่า “การศึกษาไม่อาจทำให้ทุกคนเป็นผู้นำ แต่มันสามารถสอนให้เราเลือกผู้นำ” และที่เหมาะที่สุดสำหรับระบบการศึกษาในบ้านเราคือ “การศึกษาทำให้ประชาชนง่ายต่อการนำ แต่ยากต่อการบังคับ ง่ายต่อการปกครอง หากยากต่อการเป็นทาส” ท่านว่าจริงไหมครับ

หมวดต่อไปคือ หมวดอัจฉริยะ ท่านกล่าวไว้ว่า “อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจ 1% อีก 99% มาจากหยาดเหงื่อ” และ “อัจฉริยะบุคคลมักพบว่าตัวเองเกิดเร็วไปหนึ่งศตวรรษ” และ “อัจฉริยะบุคคลคือผู้ที่ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อว่าเขาสามารถทำได้”

หมวดที่น่าสนใจหมวดถัดไปคือ หมวดวิทยาศาสตร์คนจีนโบราณสอนไว้ว่า “วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงจะสอนให้เรารู้จักความสงสัยกับความไม่รู้เป็นอย่างแรก” และที่จริงที่สุดคือ “วิทยาศาสตร์ที่ไม่มีมาตรฐานในทางศีลธรรม ก็เหมือนกับมีดเล่มหนึ่ง หากคุณมอบมีดเล่มนั้นให้ศัลยแพทย์ หรือฆาตกร วิธีที่พวกเขาใช้ย่อมต่างกัน” ความจริงวิทยาศาสตร์ในกรณีนี้เหมือนกฎหมายมากเลยครับ โดยเฉพาะการใช้กฎหมายในยุคนี้

มีสุภาษิตมากมายในหมวดที่ชื่อว่า หมวดวรรณกรรม ท่านกล่าวว่า “การมีกวีที่ยิ่งใหญ่ก็จักต้องมีผู้ฟังที่ยิ่งใหญ่” และ “นิทานเป็นประวัติศาสตร์มากกว่าความจริง เพราะความจริงเล่าเรื่องของคนเพียงหนึ่งคน หากนิทานเล่าเรื่องคนนับล้าน” ผมขออนุญาตเติมหมวดนี้หน่อยว่า เวลาท่านฟังใคร “ชี้แจง” เรื่องอะไรต้องแยกให้ออกว่า อะไรเป็นวรรณกรรม และอะไรเป็นความจริง 55555 อีกเหมือนกัน

เนื่องจากประเทศนี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญของศิลปะ ผมขอผ่านหมวดที่เกี่ยวกับศิลปะไปเพราะเข้าใจยาก เช่น “ภาพเขียนคือบทกวีที่ปราศจากถ้อยคำ” คือถ้าท่านไม่สนใจทั้งภาพเขียนและบทกวีท่านก็คงไม่เข้าใจความหมายของสุภาษิตนี้อยู่ดี 55555

ลองมาดูหมวดความสำเร็จดีกว่า ท่านกล่าวว่า “ความสำเร็จมีแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือ ความสามารถในการใช้ชีวิตตามแนวทางของตน” และ “ความสำเร็จขึ้นอยู่ที่ใจ” และ “คนเราสามารถล้มเหลวได้หลายครั้ง แต่ตราบใดที่เขายังไม่ตำหนิผู้อื่น ก็ไม่ถือว่าเขาเป็นผู้ล้มเหลว”

มีสุภาษิตในหมวดนี้อีกมากมาย แต่ผมว่าถ้าท่านเชื่อว่า ความสำเร็จมีเพียงอย่างเดียว คือ ความสามารถในการใช้ชีวิตตามแนวทางของตน นั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับท่านที่ประสบความสำเร็จ MY WIN ครับคือความสำเร็จ เพราะท่านว่า “คนจำนวนมากที่คล้ายกำลังต่อสู้กับความยากลำบากเป็นคนที่มีความสุข แต่ก็มีคนมั่งคั่งร่ำรวยอีกจำนวนมากที่เป็นทุกข์”

สองหมวดถัดไป คือ หมวดผู้ยิ่งใหญ่ ท่านกล่าวว่า “บุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงจะไม่ข่มแหงผู้น้อย และไม่ศิโรราบต่อองค์จักรพรรดิ” และ หมวดปัญญา ท่านกล่าวว่า “นักปราชญ์จะพูดถึงเรื่องที่มีสาระด้วยถ้อยคำที่กระชับ ผิดกับผู้ด้อยปัญญาจะพูดเป็นน้ำไหลไฟดับแต่หาสาระอะไรไม่ได้เลย”

สองหมวดสุดท้าย คือ หมวดโอกาส ท่านกล่าวว่า “คนมองโลกในแง่ดีเห็นโอกาสท่ามกลางภัยพิบัติ คนมองโลกในแง่ร้ายเห็นภัยพิบัติท่ามกลางโอกาส” กับหมวดตลกขบขัน ซึ่งหลายสุภาษิตหลายคนน่าจะหัวเราะไม่ออก เช่น “คอร์รับชันเหมือนหิมะก้อนหนึ่ง ทันทีที่เริ่มกลิ้งมันก็จะขยายใหญ่ขึ้น” ผมไม่ทราบว่าทำไมท่านจึงจัดสุภาษิตนี้ไว้ในหมวดตลกขบขันเพราะความจริงเป็นเรื่องน่าเศร้า กับ “คำโฆษณาคือคำโกหกที่ชอบด้วยกฎหมาย” และปิดท้ายด้วย “สำหรับคนหลายคน เส้นทางที่ยาวนานที่สุดในชีวิต คือ เส้นทางจากการพึ่งพาผู้อื่นมาสู่การพึ่งพาตนเอง”

สวัสดีปีใหม่ครับ

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2