โลกร่วมแซ่ซ้องสรรเสริญต่างภาษา แต่ใจ "ไทย" เต็มร้อย
นับเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม สำหรับการเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวงของชาวไทย” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา ในวันที่ 5 ธ.ค. 2555
นับเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม สำหรับการเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวงของชาวไทย” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษา ในวันที่ 5 ธ.ค. 2555
ไม่เพียงแต่เหล่าพสกนิกรชาวไทยเท่านั้นที่พร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ และแห่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อรอเฝ้าฯ รับเสด็จในหลวงอย่างเนืองแน่นนับแสนคนจนเต็มพื้นที่ ตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้าผ่านแยกสวนมิสกวันจนถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์
งานนี้ยังมีชาวต่างชาติจากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งที่อาศัยอยู่ในไทยและอยู่ในช่วงพักผ่อนท่องเที่ยว ก็ไม่พลาดโอกาสเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในวันสำคัญนี้ พร้อมกับความตื่นเต้นดีใจไม่ต่างอะไรกับพี่น้องชาวไทย
หลักฐานยืนยันได้ดีที่สุด คงเป็นการตัดสินใจเดินทางมายังบริเวณงานพระราชพิธี ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เช้าตรู่ของ เซบาสเตียน แลนเด็กซ์ พนักงานบริษัทผู้ผลิตพลาสติกของเยอรมนีในไทยวัย 34 ปี ที่กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า เจ้าตัวและเพื่อนร่วมงานชาวไทยออกจากบ้านมาจับจองที่นั่งบริเวณพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างด้วยความหวังในใจว่า จะได้ชมพระพักตร์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะผู้ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลกด้วยตาของตัวเอง
“รู้สึกประทับใจมากที่ได้เห็นขบวนรถของพระองค์อย่างใกล้ชิด แม้เป็นช่วงเวลาไม่นาน” แลนเด็กซ์ กล่าว พร้อมระบุอย่างภาคภูมิใจว่า เจ้าตัวได้ซักซ้อมพูดคำว่า “ทรงพระเจริญ” เป็นภาษาไทยไว้จนฉะฉานและได้ตะโกนอย่างสุดเสียงทันทีที่เห็นพระองค์เสด็จออกมา ณ สีหบัญชร เพื่อแสดงความจงรักภักดีสมความตั้งใจ
ความรู้สึกประทับใจของหนุ่มเยอรมันผู้นี้ คงไม่ต่างอะไรกับของ โซเฟีย เฟอร์นานเดซ นักศึกษาแลกเปลี่ยนของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ชาวโปรตุกีสวัย 26 ปี ซึ่งเล่าว่า คุณยายวัย 90 ปีของตนรู้สึกตื่นเต้นกับงานพระราชพิธีครั้งนี้ ถึงขั้นโทรทางไกลมาจากโปรตุเกสเพื่อสอบถามถึงบรรยากาศพระราชพิธีในวันนี้ด้วยความใคร่รู้ทีเดียว
“คุณยายของฉันท่านเกิดในยุคเดียวกันกับพระเจ้าอยู่หัว ท่านคงอยากรู้ว่าบุคคลที่เป็นที่รักของคนไทยเป็นอย่างไรบ้าง และคืนนี้ฉันจะโทรกลับไปเล่ารายละเอียดของงานในวันนี้ให้ท่านฟังว่า ฉันได้เห็นในหลวงทรงโบกพระหัตถ์ทักทายขณะประทับอยู่บนรถพระที่นั่งผ่านไปด้วย คุณยายของฉันคงต้องตื่นเต้นมากแน่ๆ” เฟอร์นานเดซ กล่าว
ขณะเดียวกัน ลีออน ลินเซน อาจารย์โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบัวทอง ซึ่งเดินทางมากับครอบครัวอย่างพร้อมหน้า กล่าวว่า แม้เจ้าตัวไม่ได้เป็นคนไทย แต่ต้องการให้ลูกสาวและลูกชายทั้งสองคน ซึ่งมีเลือดไทยได้มาสัมผัสประสบการณ์อันยิ่งใหญ่เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต
และเมื่อถูกถามถึงความรู้สึกเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนนับแสนคน นาตาชา และ คิริน ลินเซน วัย 8 และ 5 ขวบ กล่าวว่า รู้สึกสนุกและตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เห็นผู้คนมารวมตัวเยอะขนาดนี้
“คนเยอะมากๆ เราเห็นคนร้องไห้ด้วยพอในหลวงปรากฏผ่านจอโปรเจกเตอร์ยักษ์” หนูน้อยทั้งสองคน กล่าว ขณะโบกธงตราสัญลักษณ์และธงชาติไทยอยู่ตลอดเวลา
และไม่เพียงแต่พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมายังงานพระราชพิธีครั้งนี้ พระปรีชาสามารถในหลากหลายด้านและความเสียสละเพื่อประชาชนของพระองค์ยังสร้างความประทับใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมได้ศึกษาประวัติของพระองค์มาบ้าง ก่อนที่ได้เดินทางมาไทยครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน และเมื่อมีโอกาสได้มาเมืองไทย ผมก็ได้ไปชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติหลายแห่ง และยิ่งเรียนรู้ผมก็ยิ่งรู้สึกทึ่งในสิ่งที่พระองค์มีพระราชดำริและเสียสละเพื่อคนไทยมากขึ้นไปอีก” โจเซฟ โอ ไบรอัน ชาวไอร์แลนด์ วัย 66 ปี ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับภรรยาชาวไทย กล่าว ก่อนเล่าถึงโครงการในพระราชดำริต่างๆ ที่เจ้าตัวรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ อาทิ โครงการฝนหลวง โครงการแก้มลิง และแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมในไทย
เช่นเดียวกับ ชาโรกห์ วารีห์ ชาวอิหร่านวัยเกษียณ ซึ่งอาศัยอยู่ในไทยมานานกว่า 5 ปี กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรกับพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้
“พระองค์เปรียบเสมือนดังพ่อในใจผม พระองค์มีพระเมตตาต่อชาวไทยทุกครั้งที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน อย่างเช่นเมื่อครั้งที่เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ เราก็ได้เห็นพระองค์พระราชทานความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งกำลังทรัพย์และแนวทางแก้ปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ” วารีห์ กล่าว พร้อมระบุว่า รู้สึกดีใจที่ได้เห็นเมืองไทยสงบปราศจากความขัดแย้งและแตกแยกทางการเมือง และอยากเห็นคนไทยมีความสามัคคีกันเช่นนี้ตลอดไป”
เช่นเดียวกับ เรดมาร์ เดอ ฮาน หนุ่มชาวฮอลแลนด์ ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนอีก 3 คน กล่าวว่า ได้วางกำหนดการเข้ามาเที่ยวในกรุงเทพมหานครเพื่อเข้าร่วมงานพระราชพิธีในครั้งนี้โดยเฉพาะ ก่อนฝากคำถวายพระพรทิ้งท้ายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง และอยู่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยเช่นนี้ตลอดไป


