150 ปี สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯพระบิดาแห่งนักธรรม
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2455 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา พระภิกษุสามเณรที่เรียนนักธรรมและสอบได้จะมีดีกรีว่านักธรรมตรี นักธรรมโท และนักธรรมเอก แล้วแต่ระดับชั้นที่สอบได้
การมีดีกรีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการจัดการศึกษาพระสงฆ์ให้เป็นระบบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นี้ ยังมีคุณูปการอย่างอเนกอนันต์ต่อการศึกษาภาษาบาลี และการศึกษาทางโลกจนกระทั่งเกิดระบบโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่มีในปัจจุบัน จึงกล่าวได้ว่าพระองค์เป็นบุคคลสำคัญพระองค์หนึ่งในการวางรากฐานการศึกษาสมัยใหม่ของไทย
ด้านการปกครองคณะสงฆ์นั้น ก็เป็นในสมัยของพระองค์ท่านที่มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับแรกขึ้นเรียกว่า พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 เป็นครั้งแรก
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฐายี ป.ธ. 9) วัดมกุฏกษัตริยาราม ตรัสไว้ในหนังสือ 50 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ สิงหาคม พ.ศ. 2514 ว่า
พระจริยาวัตรของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติและพระศาสนา พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่เพื่อความเจริญวัฒนาการของชาติและพระศาสนาโดยแท้ สมเป็นปูชนียบุคคลที่ควรเคารพบูชาของชาติไทย เป็นผู้ที่อนุชนจะพึงเคารพบูชาและถือเป็นเนติแบบอย่างในการบำเพ็ญประโยชน์แก่พระศาสนาและประเทศชาติสืบไป
เสียดายไม่เสนอ UNESCO เป็นคนสำคัญของโลก
คุณสมบัติและความสามารถของพระองค์ท่านนั้นยิ่งใหญ่มาก แต่องค์กรของรัฐมองข้ามที่จะเสนอชื่อของพระคุณท่านให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกไปอย่างน่าเสียดายเมื่อครบรอบวันประสูติ 150 ปี ในปีนี้
ส่วนคณะสงฆ์ธรรมยุต และวัดบวรนิเวศวิหาร จัดงานครบรอบ 150 ปีแห่งการประสูติ ในวงแคบ แค่วัดคณะธรรมยุตและวัดบวรนิเวศเท่านั้น แทนที่คณะสงฆ์ โดยมหาเถรสมาคมจะรับมาเป็นงานของคณะสงฆ์ทั้งประเทศก็หาไม่
จะเห็นได้จากการประชุม มส. เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2553 สมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตเสนอเรื่องจัดงาน 150 ปี แห่งการประสูติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผ่านเลขาธิการกรรมการ เข้าสู่ที่ประชุม มส. ก็เพียงรับทราบเท่านั้นเอง
ข้อความในหนังสือมีดังนี้
n แจ้ง มส.จัดงาน 150 ปี
ในการประชุมกรรมการบริหารคณะธรรมยุต ครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ณ ห้องประชุมกุฏิฉอุ่ม หน้าตำหนักคอยท่าปราโมช วัดบวรนิเวศวิหาร ได้พิจารณาว่า วันที่ 12 เมษายน 2553 เป็นมงคลวโรกาสครบรอบ 150 ปี แห่งการประสูติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระนามฉายา มนุสฺสนาโค) ทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงปฏิบัติพระศาสนกิจและพระกรณียกิจนานัปการอันเป็นคุณประโยชน์ต่อพระศาสนา ประเทศชาติ และพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมากได้ทรงประสิทธิ์ประสาทความเจริญแห่งวิชาการทางพระพุทธศาสนา ทรงกำหนดหลักสูตรนักธรรมอันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้พระพุทธศาสนาของพระภิกษุสามเณรขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2455 ทรงได้พระนามว่า ผู้ให้กำเนิดนักธรรม
ด้วยพระคุณูปการเป็นอเนกที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงบำเพ็ญแก่พระศาสนาและประเทศชาติ อันเป็นรากฐานแห่งความเจริญและอำนวยประโยชน์ถึงปัจจุบัน และในวาระอันเป็นมงคลยิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดฯ พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์การจัดงานบำเพ็ญกุศล ครบ 150 ปี วันประสูติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วันที่ 1112 เมษายน 2553 ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
n ใช้งบกว่า 6 ล้านบาท
การจัดงานในพระบรมราชูปถัมภ์เริ่มวันที่ 11 เม.ย. 2553 เวลา 16.00 น. มีพิธีสวดพระพุทธมนต์ และพระสงฆ์ 150 รูปสดับปกรณ์ วันจันทร์ที่ 12 เม.ย. ตอนเช้ามีพระธรรมเทศนา พระสงฆ์สมณศักดิ์สวดมนต์ฉันเพล ถวายเพลพระภิกษุสามเณร 250 รูป
ในงานนี้จะพิมพ์หนังสือ 5 เล่มเป็นที่ระลึก คือ พระมหาสมณานศาสน์ (ภาคคดีโลก และภาคคดีธรรม 2 เล่ม) พระประวัติตรัสเล่า (2 เล่ม) และสมุดภาพพระประวัติ 1 เล่ม ส่วนนี้ใช้งบ 3 ล้านบาท
ส่วนของที่ระลึกอื่นๆ ได้แก่ พัดรองปักดิ้นเงินทองแท้ พัดรองปักไหมดิ้นเงินทอง ย่ามผ้าไหม ผ้าไตรสีพระราชนิยม ไทยธรรม เหรียญพระรูปเหมือนที่ระลึกครบรอบ 150 ปีแห่งประสูติ ไม่รวมปัจจัยถวายพระแสดงพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ฉันเพล อีก 3 ล้านกว่าบาท
รวมเบ็ดเสร็จงานนี้ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 6.7 ล้านบาท
n พระประวัติ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 เม.ย. 2403 ในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนทรงผนวชเป็นสามเณร นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษ และโหราศาสตร์อีกด้วย ถึงปี พ.ศ. 2416 เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงผนวชเป็นสามเณร ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ประมาณ 2 เดือน จึงทรงลาผนวชทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2422 ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วมาประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อทรงผนวชได้ 3 พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่ง ทรงแปลได้เป็นเปรียญ 5 ประโยค จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และเป็นเจ้าคณะรอง ในธรรมยุติกนิกาย เมื่อปี พ.ศ. 2424
พระองค์ได้ครองวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯ เมื่อปี พ.ศ. 2434
ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เมื่อปี พ.ศ. 2436
ในรัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2453 ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษกเป็นองค์สกลมหาสังฆปริณายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 10
พระองค์ท่านทรงมีผลงานมากมาย ทรงเริ่มพัฒนาการพระศาสนา โดยเริ่มต้นที่วัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ริเริ่มให้ภิกษุสามเณรที่บวชใหม่ เรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทย มีการสอบความรู้ด้วยวิธีเขียน ต่อมาจึงกำหนดให้เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ เรียกว่า นักธรรม
ทรงจัดตั้ง มหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นการริเริ่มจัดการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรแบบใหม่ คือ เรียนพระปริยัติธรรม ประกอบกับวิชาการอื่น ที่เอื้ออำนวยต่อการสอนพระพุทธศาสนา ผู้ที่สอบได้จะได้เป็นเปรียญเช่นเดียวกับที่สอบได้ในสนามหลวง เรียกว่า เปรียญมหามกุฏ แต่ได้เลิกไปในอีก 8 ปีต่อมา
ทรงออกนิตยสาร ธรรมจักษุ ซึ่งเป็นนิตยสารทางพระพุทธศาสนาฉบับแรกของไทย
n ทรงได้อำนาจบริหารบริบูรณ์
ทรงอำนวยการจัดการศึกษาหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเมื่อปี พ.ศ. 2441 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังประชาชนทั่วราชอาณาจักรผ่านวัด เพราะเป็นแหล่งให้การศึกษาแก่คนไทยมาแต่โบราณกาล พระองค์ดำเนินการอยู่ 5 ปี ขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานคือ ชั้นประถมศึกษา ออกไปได้ทั่วประเทศ จากนั้นจึงให้กระทรวงธรรมการ ดำเนินการต่อไป
ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ โดยมี พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ขึ้น พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นฉบับแรกของไทย ได้จัดคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุติกา จัดการปกครองกระจายอำนาจลดหลั่นกันไปโดยมีศูนย์กลางอำนาจที่มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในการพระศาสนา และการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ แต่ไม่มีอำนาจเด็ดขาด เพราะเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการสั่งการต่างๆ ดังนั้นกระทรวงธรรมการ จึงต้องทำหน้าที่สังฆราชโดยปริยาย
ในปี พ.ศ. 2454 (รัชกาลที่ 6) พระองค์ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเสนาบดีกระทรวงธรรมการ มีความว่า ควรถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชให้เด็ดขาด เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เรียบร้อย หลังจากนั้นอีก 6 เดือน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนา ถวายแด่พระองค์ผู้เป็นมหาสังฆปริณายก เมื่อปี พ.ศ. 2455
n งานนิพนธ์
งานพระนิพนธ์ พระองค์ทรงรอบรู้ภาษาต่างๆ หลายภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆ ไว้เป็นอันมาก เช่น หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี โท เอก หลักสูตรบาลี ไวยากรณ์ทั้งชุด รวมพระนิพนธ์ทั้งหมดมีมากกว่า 200 เรื่อง นอกจากนี้ยังทรงชำระ คัมภีร์บาลีไว้กว่า 20 คัมภีร์
n สิ้นพระชนม์
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ประชวรด้วยวัณโรค มีพระอาการเรื้อรังมานานนับสิบปี จนกำเริบรุนแรงเกินกว่าความสามารถของแพทย์หลวง ในที่สุดท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2464 สิริรวมพระชนมายุได้ 62 พรรษาครองวัดบวรนิเวศวิหารนาน 30 ปี ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ 10 ปี 7 เดือน


