ระบอบมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญครองราชย์ แต่ไม่ได้ปกครอง
ระบอบพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญเป็นระบอบการปกครองที่คณะราษฎรนำมาใช้หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อันเป็นจุดสิ้นสุดของการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย คำว่า “พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” แปลจากภาษาอังกฤษ “Constitutional Monarchy”
ระบอบพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญเป็นระบอบการปกครองที่คณะราษฎรนำมาใช้หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อันเป็นจุดสิ้นสุดของการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย คำว่า “พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” แปลจากภาษาอังกฤษ “Constitutional Monarchy”
แม้ว่าระบอบนี้จะเริ่มเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ปี 1660 เป็นต้นมา แต่อังกฤษมิได้เป็นคนบัญญัติคำว่า “Constitutional Monarchy” ด้วยคำว่า “Constitutional Monarchy” มาจากนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ W.Dupre ได้บัญญัติคำว่า “La monarchie constitutionalle” ขึ้นในปี 1801 เพื่อหมายถึงระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญสมัยใหม่
โดยรัฐธรรมนูญในระบอบนี้กำหนดว่า กิจกรรมสาธารณะที่องค์พระมหากษัตริย์จะสามารถกระทำได้จะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีของพระองค์ จะมีที่ไม่ต้องผ่านก็แต่เพียงกิจกรรมบางอย่างเท่านั้น ดังนั้นอีกนัยหนึ่งระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญก็คือ ระบอบพระมหากษัตริย์พระราชอำนาจจำกัด (Limited Monarchy) หรือที่เรียกว่า “ระบอบปรมิตาญาสิทธิราชย์” และรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้พระมหากษัตริย์ทรงปกครองจริงๆ
แม้ว่าอังกฤษจะเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบพระมหากษัตริย์ใต้รัฐสภาตั้งแต่หลังปี 1660 อังกฤษยังไม่ได้เรียกระบอบของตนเช่นนั้น แต่เรียกว่า “Crown in parliament” ถ้าแปลตรงตัวก็คือ พระมหากษัตริย์ในรัฐสภาอันหมายถึง พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐสภาที่ต้องอยู่ใต้รัฐสภา เพราะในปี 1649 ฝ่ายรัฐสภาได้ชัยชนะในสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายพระมหากษัตริย์กับฝ่ายรัฐสภา อันมีสาเหตุมาจากการที่ฝ่ายรัฐสภาได้ยื่นเงื่อนไข 19 ข้อต่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 เพื่อลดทอนและจำกัดพระราชอำนาจ
อังกฤษเริ่มมองและเรียกระบอบของตนว่าระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐสภา (Constitutional Monarchy) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษที่ชื่อ Macaulay เป็นคนแรกที่เรียกระบอบการปกครองของประเทศเขาว่าเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมูญ แม้ว่าอังกฤษจะไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่ก็มีรัฐธรรมนูญที่เป็นจารีตประเพณีการปกครอง
เขาได้กล่าวไว้ในหนังสือ ชื่อ History of England ว่า “ตามแก่นแท้หรือตัวแบบ (Pure Idea) ของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Royalty) องค์พระมหากษัตริย์ทรงครองราชย์ แต่ไม่ได้ปกครอง (The prince reigns, and does not govern) ; และระบอบที่ดำรงอยู่ในอังกฤษ (ในสมัยของ Macaulay—ผู้เขียน) มีความใกล้เคียงกับตัวแบบนี้มากกว่าประเทศอื่นใด (Macaulay, History of England IV.xvii.10)
และตัวแบบที่ว่านี้คือ ตัวแบบที่ W. Dupre ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวถึงไว้เมื่อปี 1801 นั่นเอง อันเป็นตัวแบบการปกครองที่ไม่ประสบความสำเร็จในฝรั่งเศส หลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 และการตัดพระเศียรพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศส จากนั้นฝรั่งเศสอยู่ภายใต้การปกครองโดยรัฐสภาหรือสภาประชาชน และอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวายจน
กระทั่งนโปเลียนได้ขึ้นมาปกครองมีอำนาจสูงสุด แต่หลังจากที่นโปเลียนพ่ายแพ้สงคราม ฝรั่งเศสกลับมามีสถาบันพระมหากษัตริย์อีก แต่พระราชอำนาจต้องถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนั่นเอง แต่ระบอบการปกครองแบบนี้ก็ไม่สามารถลงหลักปักฐานได้ในฝรั่งเศส
แม้ว่าจะมีความพยายามสร้างและประคับประคองให้ดำรงอยู่ก็ตาม ปัจจัยสำคัญแห่งความล้มเหลวประการหนึ่งอยู่ที่ตัวองค์พระมหากษัตริย์เองและบรรดาผู้คนที่นิยมเจ้าอย่างรุนแรง ถึงขนาดที่ถูกฝ่ายตรงข้ามเรียกว่า “Ultra Royalists” หรือจะเรียกในภาษาไทยว่า “พวกคลั่งเจ้า” ก็ไม่ผิดนัก
ข้อดีของระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์เงื่อนไขทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองของแต่ละประเทศ แต่ข้อดีที่เป็นสากลทั่วไปของระบอบนี้คือ ระบอบนี้สามารถมีสถาบันที่ประมุขของรัฐที่เป็นเสาหลักของแผ่นดินที่ไม่หมดวาระ หรือเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสการเมือง
สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาก็คือ ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประธานาธิบดีในฐานะประมุขของรัฐ สถาบันไหนจะเป็น “ศูนย์รวมใจ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้มแข็งได้มากกว่ากัน
ดังนั้น ประเทศที่คิดจะเปลี่ยนแปลงจากระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาเป็นประธานาธิบดีต้องคิดให้ดีและถี่ถ้วน ที่จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในการสร้างและประคับประคองให้ระบอบใหม่นี้ลงหลักปักฐานได้
(ส่วนหนึ่งของงานวิจัย ภายใต้โครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2556 ความมั่นคงของการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย สนับสนุนโดย สกอ. ต.ค. 2555-ก.ย. 2556)


