มารยาทม็อบ
“ม็อบ” มาจากคำฝรั่งว่า Mob ที่แปลตรงตัวว่า “ไม้กวาด” อย่างที่แม่มดฝรั่งชอบขี่บินไปมา รวมทั้งที่บรรดานักเรียนฮอควอร์ดในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“ม็อบ” มาจากคำฝรั่งว่า Mob ที่แปลตรงตัวว่า “ไม้กวาด” อย่างที่แม่มดฝรั่งชอบขี่บินไปมา รวมทั้งที่บรรดานักเรียนฮอควอร์ดในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ขี่แสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้นด้วย ซึ่งคงจะเป็นด้วยลักษณะของวัสดุจำพวกใบหญ้าและกิ่งก้านของพืชที่นำมามัดรวมกันเป็นพุ่ม เพื่อให้สะดวกในการเก็บกวาดฝุ่นผงและขยะต่างๆ การนำวัสดุเหล่านั้นมา “กำรวมกัน” จึงเรียกว่า Mob
ในสมัยที่เรียนวิชาหลักรัฐศาสตร์ตอนปี 1 ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ท่านอาจารย์จรูญ สุภาพ ผู้สอนวิชานี้มอบหมายให้นิสิตไปค้นศัพท์รัฐศาสตร์มาหลายๆ คำ ในจำนวนนั้นมีคำว่า Mob รวมอยู่ด้วย พวกเราก็ต้องไปซื้อหนังสือของท่านที่ชื่อว่า “ศัพท์รัฐศาสตร์” มาอ่าน เพราะตอนนั้นยังไม่มีกูเกิลและวิกิพีเดีย จึงได้ความเข้าใจว่าหมายถึงการรวมตัวกันของคนเป็นกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ถ้าในทางการเมืองจะเรียกว่ากลุ่มกดดันหรือกลุ่มผลประโยชน์
ท่านอาจารย์ยังมีลูกเล่นยกตัวอย่างว่าม็อบมีหลายรูปแบบ แม้กระทั่งไทยมุงที่หมายถึงการที่คนทั้งหลายชอบแห่ห้อมล้อมดูในความวิบัติของคนอื่นก็เรียกว่าม็อบ ในด้านดีก็มีมากมาย เช่น การลงแขกเกี่ยวข้าวหรือมาช่วยกันปลูกเรือนของคนไทยในสมัยก่อนด้วยวิธีการขอแรงและบอกต่อๆ กันไปก็เรียกว่าม็อบ หรือการที่มีคนมาร่วมในงานบุญงานกุศล เช่น งานแต่ง งานบวช งานศพ และงานประเพณีต่างๆ โดยไม่ต้องร้องขอหรือนัดหมายก็เรียกว่าม็อบ จึงมีเพื่อนคนหนึ่งในห้องยกมือถามอาจารย์ว่า แล้วพระสงฆ์ 2,500 รูป ที่มาชุมนุมกันในสมัยพุทธกาลในคืนมาฆบูชานั้นเรียกว่าเป็นม็อบได้หรือไม่ ซึ่งผู้เขียนจำไม่ได้ว่าท่านอาจารย์ตอบว่าอะไร
ในสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กอายุราว 5 ขวบ 6 ขวบ เคยวิ่งเล่นอยู่แถวตลาดห้วยขวางและบริเวณรอบๆ ที่แต่ก่อนเป็นท้องทุ่งน้ำเจิ่ง เจ้าของที่ส่วนใหญ่เป็นคนอิสลาม มีอาชีพหลักเลี้ยงวัวและขายถั่วทอด (แบบที่เป็นแผ่นบางๆ ทอดในน้ำมันร้อนจัดจนกรอบเกรียม อร่อยมาก ขอบอก) ถ้าหน้าแล้งน้ำจะลด คนจีนจะเอาเป็ดมาเลี้ยงเป็นฝูงๆ อย่างที่เรียกกันในสมัยนี้ว่า “เป็ดไล่ทุ่ง” พวกเราเด็กๆ จะไปวิดปลาที่จมโคลนขุ่นคลั่กเอามาปิ้งย่างกินเล่นกันเล็กๆ น้อยๆ มีครั้งหนึ่งไอ้เพื่อนบางคนซนมากไป ไปแอบขโมยเป็ดของเจ๊ก ถึงกับต้องวิ่งหนีตกน้ำตกท่ากันอุตลุด แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นถนนรัชดาภิเษกหรูหรา เต็มไปด้วยแหล่งเริงรมย์ที่ใหญ่ที่สุดตลอดถนนนี้ในปัจจุบัน
พวกเราจะนัดหมายกันหลังเลิกเรียนว่าจะไปเล่นอะไรที่ไหนกันบ้าง ที่นิยมกันในสมัยนั้นก็เช่น โปลิศจับขโมย ส่วนกีฬาก็คือฟุตบอล บางทีเล่นกันจนดึกดื่น (ดึกดื่นของเด็กก็คือ 2 หรือ 3 ทุ่ม ที่ต้องอาบน้ำเข้านอน) จนพ่อแม่ออกมาตาม เพื่อนบางคนโดนทำโทษ เพื่อนคนอื่นๆ ก็จะนัดหมายกันไปอ้อนวอนขอร้องไม่ให้ผู้ปกครองของเพื่อนคนนั้นไม่ให้ทำโทษเพื่อน หรือไม่ก็ขอลดโทษ รวมทั้งขอรับโทษแทน หรือร่วมรับโทษกับเพื่อนด้วย ผู้เขียนจึงระลึกได้ว่านี่น่าจะเป็น “ประสบการณ์ม็อบ” ครั้งแรกๆ หรือจะเรียกว่า “ม็อบเด็กมวลมิตรร่วมซอย” ก็ได้
ในช่วง พ.ศ. 2506-2509 ผู้เขียนต้องไปเรียนชั้นประถม 1-4 อยู่ที่บ้านหนองม่วง ต.หนองมะนาว อ.คง จ.นครราชสีมา ที่กันดารมากๆ เพราะพอลงจากรถไฟที่สถานีเมืองคงแล้ว ก็ต้องเดินเท้าไปอีก 3 ชั่วโมง จึงจะถึงหมู่บ้านนี้ ที่นี่ผู้เขียนได้รู้จักกับ “ม็อบคนแก่” เพราะผู้เขียนต้องติดตามคุณย่าไปวัดทุกเช้าเพื่อทำบุญเลี้ยงพระ หลังจากนั้นก็จะรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่างๆ ช่วยเหลือทางวัด เช่น ปัดกวาดวัด และซ่อมแซมเสนาสนะต่างๆ จึงอาจจะเรียกได้อีกอย่างว่า “ม็อบเอาบุญ” เพราะพวกเราเด็กๆ ก็ได้ช่วยทำงานและพลอยได้บุญไปด้วย
ช่วง พ.ศ. 2514-2518 เรียนอยู่ชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริยาราม ปี 2515 มีเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นที่หน้าทำเนียบ พวกเราหลายคนเดินไปดูพี่ๆ ที่อยู่ในม็อบก็จะเอาเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวขุ่นมาให้ใส่เพื่อแทนที่เสื้อผ้าโทเรจากญี่ปุ่น
11 ต.ค. 2516 ก่อนเหตุการณ์ตุลามหาวิปโยค 3 วัน ผู้เขียนนั่งรถเมล์ไปนั่งฟังเพลงเพื่อชีวิตในสนามฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อน แต่พอฟังเพลงไปฟังปราศรัยไปก็เริ่ม “อิน” และพลันเกลียดทรราชจนเลือดพลุ่งพล่าน จึงอยู่ในที่ชุมนุมด้วยชุดนักเรียนชุดเดียวนั้นจนถึงวันที่เคลื่อนพลออกมาไปชุมนุมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและข้างพระตำหนักสวนจิตรลดา กระทั่งเกิดเหตุร้ายตลอดวันที่ 14 ต.ค.ปีนั้น
พอปี 2519 เข้าเรียนปี 1 รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็ถูกพี่ๆ ชวนไปทำงานช่วยพรรคจามจุรี โดยช่วยแจกใบปลิวโจมตีพวกฝ่ายซ้ายในจุฬาฯ ที่ชื่อว่าพรรคจุฬาประชาชน วันที่ 6 ต.ค. ปีนั้นก็ยังไปดูร่องรอยที่มีการเผานักศึกษาที่โคนต้นมะขามข้างสนามหลวงหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงอาจจะพอเรียกได้ว่าเริ่มบ้าการเมืองขึ้นบ้างแล้ว
ที่เขียนเรื่องส่วนตัวมานี้ไม่ใช่คิดจะโอ้อวดวีรกรรมอะไรแต่อย่างใด แต่อยากจะเล่าให้เห็นภาพว่าม็อบนั้นเป็นสิ่งธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้ในกลุ่มสังคมทั่วไป ส่วนมากไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือชั่วร้าย เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าม็อบเหล่านั้นมีจุดมุ่งหมายอย่างไร รวมถึงจะดูแลจัดการม็อบนั้นอย่างไร อย่างที่ปราชญ์กรีกคืออริสโตเติลเคยกล่าวไว้เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาลว่า การปกครองด้วยมวลชนที่เรียกว่า Mob หากดูแลกันดียึดกติกาอย่างมีระเบียบก็จะเป็นสังคมอารยะที่เรียกว่า Polity แต่ถ้าปล่อยให้วุ่นวายควบคุมกันไม่ได้ก็จะเป็นสังคมที่อันตราย ซึ่งอริสโตเติลเรียกว่า Democracy (ไม่ต้องแปลกใจที่อริสโตเติลไม่ค่อยชอบ Democracy เพราะสมัยนั้นยังมีระบอบการปกครองโดยตัวคนที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย หรือ “เหลี่ยมจัด” เรียกว่าพวก Demagogy อริสโตเติลจึงเรียกระบอบการปกครองโดยมวลชนที่ไร้ระเบียบนี้ว่า Democracy ดังกล่าว)
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องม็อบนางเลิ้งหรือม็อบเสธ.อ้าย ที่ทราบว่าจะมีการชุมนุมกันในวันที่ 24 พ.ย. คือวันเสาร์หน้านี้ แต่สถานที่จะย้ายไปใช้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสื่อมวลชนบางฉบับนำพื้นที่รอบบริเวณนั้นมาคำนวณแล้วสรุปว่าน่าจะมีคนมาชุมนุมได้ไม่เกิน 5 แสนคน และคงไม่มากไปกว่าการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2516 (ที่จริงคือวันที่ 13 เพราะในวันนั้นเมื่อหัวขบวนยกออกจากธรรมศาสตร์ในตอนเที่ยงวัน ตอน 6 โมงเย็นที่หัวขบวนมาถึงลานพระบรมรูปทรงม้า ท้ายขบวนยังออกมาไม่หมดจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลย) ที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นการชุมนุมที่มีจำนวนคนมาร่วมมากที่สุดก็มีคนไม่เกิน 5 แสน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีวันหนึ่งผู้เขียนได้รับเชิญจากทีวีดาวเทียมช่องหนึ่งให้ไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับม็อบเสธ.อ้ายนี้ว่ามีอะไรที่น่าสนใจ และจะมีผลอะไรรุนแรงตามมาหรือไม่ ซึ่งวิทยากรอีกท่านหนึ่งบอกว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก เพราะไม่เห็นจะมีประเด็นอะไรที่จะนำมาอภิปรายปราศรัยกัน แถมแกนนำก็ไม่มีบุคคลระดับแม่เหล็ก หรือ “ดารา” และคุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นผู้หญิง ยิ่งโจมตีก็จะเรียกความสงสารได้มาก ทั้งยังน่ากลัวอันตรายเพราะจะมีมือที่สามเข้าก่อเหตุ
ผู้เขียนให้ความเห็นว่าครั้งหนึ่งที่เขาไล่รัฐบาลในฝรั่งเศส พวกม็อบก็มานั่งอาบแดด วาดรูป และเอาอาหารที่ทำมาจากบ้านมาร่วมรับประทานแบบที่เรียกว่า “ปิกนิก” ที่ฟิลิปปินส์ตอนไล่มาร์กอสก็ออกมาร่วมกันสวดมนต์ หรือที่ชาวคริสต์เรียกว่า “มิซซา” ทุกวันทั้งเช้าและเย็น หรือตอนที่มหาตมะ คานธี ต่อต้านอังกฤษ ก็กินนอนอยู่ข้างถนน อาบน้ำและทำ “ธุระธรรมชาติ” ต่างๆ อยู่กลางแจ้งนั่นแหละ ในบรรยากาศเช่นนั้นไม่มีแม้แต่การปราศรัยหรือการกระจายเสียงใดๆ แต่ก็สามารถเขย่าขวัญผู้มีอำนาจจนกระเจิดกระเจิงและยอมแพ้ในที่สุด
วันที่ 24 อาจจะมีหลายๆ ท่านเอาอาหารไปร่วมรับประทานกันตามฐานะ เบี้ยน้อยหอยน้อยก็กินส้มตำกันเป็นพื้น แต่อย่าลืมใส่ปูดองแล้วตำๆๆ ให้พอบุบๆ ส่วนท่านที่เงินถุงเงินถังจะเอาปูเนื้อปูไข่กิโลละ 700-800 มาเผากินเล่น ก็ไม่ผิดกติกาอันใด
Bon appetite ! ขอให้เจริญอาหารครับ


