ผ่าโพยก๊วนการเมือง
กรณีของท่อน้ำเลี้ยงม็อบกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น หน่วยข่าวในรัฐบาล แจ้งว่า ตรวจพบการโอนแบบโพยก๊วนจากฮ่องกงและสิงคโปร์ เข้ามายังร้านแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งหนึ่ง
กรณีของท่อน้ำเลี้ยงม็อบกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น หน่วยข่าวในรัฐบาล แจ้งว่า ตรวจพบการโอนแบบโพยก๊วนจากฮ่องกงและสิงคโปร์ เข้ามายังร้านแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งหนึ่ง
โดย...ทีมข่าวการเงิน
การระดมคนเสื้อแดงหลายหมื่นคน และรถกระบะหลายพันคัน เข้ามาปิดกรุงเทพฯ แต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะเป็นรายจ่ายเนื้อๆ เน้นๆ ที่ต้องควักกระเป๋าทั้งนั้น!!!
ประเมินกันคร่าวๆ น้ำเลี้ยงเที่ยวนี้ที่ยิงออกไปมากกว่า 1,500 ล้านบาท
น่าจะเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยจัดตั้งม็อบกันในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
แม้จะทราบกันดีว่า งานนี้ท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ที่สุดมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่เหลือคือการ “ลงขัน” ของธุรกิจในเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ
แต่การนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ!!!
หากเงินที่เข้ามาโดยไม่มีธุรกิจธุรกรรมรองรับ แต่เอาเข้ามา “ปั่นกระแส” ทางการเมืองอย่างเดียว
ยิ่งไม่ง่ายใหญ่!!
เพราะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
การเอาเงินก้อนใหญ่เข้ามาจึงต้อง “หลบฉาก” ทั้งซิกแซ็ก แอบซ่อน
จะบ้าขนใส่กระเป๋าเข้ามาตรงๆ โต้งๆ ผ่านสนามบินไม่ได้
งานนี้เรียกว่า ไม่เอาเข้าด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล
ไม่ได้ด้วยกลก็ต้องเอาด้วย “มนต์” คือใช้บริการพ่อมดทางการเงินทั้งหลาย
ส่งผลให้รัฐบาลต้องออกแรงไล่ตรวจสอบท่อน้ำเลี้ยงแบบทุกเม็ด
แล้วก็ไปเจอว่า มีเงิน “ก้อนใหญ่” ที่ไหลมาเลี้ยงม็อบ ผ่านธุรกิจโพยก๊วนในประเทศไทย
ร้านโพยก๊วนดังกล่าวเป็นร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราใหญ่
โดยหน่วยงานรัฐพบว่า “หน้าฉาก” รับซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน
แต่ “หลังฉาก” รับโอนเงินข้ามประเทศแบบไม่มีธุรกรรม
โดยร้านนี้ถือเป็นร้านที่บรรดา “นักการเมือง” ส่วนใหญ่รู้จักดี และมาใช้บริการแบบลับๆ บ่อยมาก
เพราะเงินรายได้ของนักการเมืองเป็นเงินที่อยู่นอกการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน
โดยวิธีการของโพยก๊วน คือ การส่งเงินจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง โดยใช้แค่โทรศัพท์สั่งการ
อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเจ้าของเงิน และร้านค้าที่รับเป็นตัวกลาง
เป็นรูปแบบการโอนเงินแบบดั้งเดิม ที่ชาวจีนโพ้นทะเลในเมืองไทยสมัยก่อน นิยมใช้เพื่อส่งเงินกลับบ้าน
แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า คนไทยใช้โพยก๊วนในการโอนเงินที่ “ไม่มีที่มาที่ไป” เงินในธุรกิจมืด หรือเงินที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษี
แหล่งใหญ่ของโพยก๊วนในไทยมีตั้งแต่ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตรา ร้านขายทองย่านเยาวราช และบริษัททัวร์
กรณีของท่อน้ำเลี้ยงม็อบกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น หน่วยข่าวในรัฐบาล แจ้งว่า ตรวจพบการโอนแบบโพยก๊วนจากฮ่องกงและสิงคโปร์ เข้ามายังร้านแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งหนึ่ง
แต่รัฐบาลก็ไม่มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า เป็นพ.ต.ท.ทักษิณ ที่โอนเข้ามาหรือไม่
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สว.สรรหา กล่าวว่า ปกติแล้วการโอนแบบโพยก๊วนคือการโอนเงินใต้ดิน ผ่านการ “หักบัญชี” ของร้านที่ทำธุรกิจโพยก๊วน
ขณะที่คนที่เข้าสู่วงในของธุรกิจโพยก๊วนได้ ต้องใจนักเลงและมีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่ง
“บางครั้งมีการถือเงินเป็นกระเป๋า กระเป๋าละ 30 ล้านบาท มาให้เลย” เรืองไกร กล่าว
ขณะที่ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ยอมรับว่าได้ประสานไปยัง พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการ ปปง. เข้าตรวจสอบธุรกรรมการเงินของกลุ่มเป้าหมายคนไทย 16 ราย และกลุ่มชาวต่างชาติ10 ราย
โดยเป้าหมายที่ลุยเข้าคุ้ย คือ กิจการ 3 ประเภท ได้แก่ นำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ ค้าทองคำ และกลุ่มที่นำเข้าเงินตราผิดกฎหมาย หรือโพยก๊วนเงิน
เมื่อธุรกิจทั้งสามประเภทล้วนโยงใยกับการฟอกเงินทั้งสิ้น!!!
พ.ต.อ.สีหนาท ยืนยันว่า การตรวจสอบเส้นทางการเงินเป็นภารกิจตามปกติ ไม่ได้เจาะจงจะตรวจสอบท่อน้ำเลี้ยงเกี่ยวข้องกับการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้น
“หากตรวจสอบพบผิดปกติ ก็จะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ก็มีบ้าง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการสอบสวนเป็นทางลับอยู่ ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้” พ.ต.อ.สีหนาท กล่าว
ขณะเดียวกันมีการสุ่มสำรวจความเห็นของบริษัทรับแลกเงินรายใหญ่ โดย สุกิจ สุสมากุลวงศ์ ผู้จัดการบริษัท ซุปเปอร์ ริช (ไทยแลนด์) ยอมรับว่า ในช่วงนี้ ธปท. ได้ขอความร่วมมือให้รายงานธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่มีวงเงินสูงๆ เป็นกรณีพิเศษ
สุกิจ บอกว่า ปกติถ้านำเงินตราต่างประเทศมาซื้อขายเกิน 1 หมื่นเหรียญสหรัฐขึ้นไป จึงค่อยรายงาน
ผู้จัดการบริษัท ซุปเปอร์ ริช ยืนยันว่า บริษัทไม่เคยทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับโพยก๊วน หรือการจ่ายเงินตามตั๋วเงินให้เครือข่ายการเมือง หรือกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง
“แต่ช่วงนี้ ธปท. ขอความร่วมมือมาให้ช่วยดูเป็นพิเศษ ทำให้เรารายงานละเอียดขึ้น หรือถ้าเห็นว่าผิดปกติ เช่น มีคนต้องสงสัยแต่งตัวแปลกๆ ถือเงินตราต่างประเทศมาแลก 1,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป ก็จะรายงานเลย” สุกิจ กล่าว
นายสุกิจ ย้ำว่า ทางบริษัทไม่ได้ทำธุรกิจโพยก๊วน แต่จะเป็นบริษัทอื่นที่มีพฤติกรรมตามที่เป็นข่าวหรือไม่ ก็ไม่ทราบ หรือจะเป็นบริษัทไหนก็ไม่รู้
ปัจจุบันบริษัทมีธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนต่อเดือนเฉลี่ย 85-90 ล้านบาท จากปกติ 70 ล้านบาท
ต้องยอมรับว่า การตรวจสอบเส้นทางเดินเงินของม็อบกลุ่มคนเสื้อแดง สกัด “น้ำหล่อเลี้ยง” ไม่ได้ทั้งหมด
เพราะเครือข่ายทางการเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีเหลือเฟือ
ยิ่งล่าสุด มีข่าวว่า คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ผู้มีอำนาจในการเปิดปิดก๊อกน้ำตัวจริง
ทั้งขู่ทั้งปลอบ สส.เพื่อไทย ว่าหากไม่ให้ความร่วมมือกับม็อบกลุ่มคนเสื้อแดง จะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ก็น่าเป็นห่วงว่าการชุมนุมใหญ่วันที่ 27 มี.ค.นี้ น่าจะระดมคนอีกระลอกใหญ่
งานนี้เรียกได้ว่าท่อน้ำเลี้ยงไม่มีวันหมดจริงๆ!!


