posttoday

ยื้อเวลาช่วงสุดท้ายปางควายเวียงหนองหล่ม

03 พฤศจิกายน 2555

ดวงตะวันสีแดงปนส้มสะท้อนแสงลงบนหนองน้ำเวิ้งกว้างยาวสุดสายตาเป็นสัญญาณใกล้ค่ำ กลุ่มควันไฟลอยล่องออกจากกระท่อมหลายหลังที่เรียงซุกตัวอยู่ตามกอไผ่

โดย...เกรียงไกร แจ้งสว่าง

ดวงตะวันสีแดงปนส้มสะท้อนแสงลงบนหนองน้ำเวิ้งกว้างยาวสุดสายตาเป็นสัญญาณใกล้ค่ำ กลุ่มควันไฟลอยล่องออกจากกระท่อมหลายหลังที่เรียงซุกตัวอยู่ตามกอไผ่

ฝูงควายหลายร้อยตัวเดินลัดเลาะแยกย้ายเข้าคอกมุ่งสู่มุมเดิมที่เคยนอน ควายรุ่นบางตัวยังดื้อดึงกินหญ้าอยู่ริมหนองน้ำ เจ้าของต้องไล่ต้อนเข้าฝูง

ปางควายบ้านป่าสักหลวง บ้านดงต้นยาง และบ้านห้วยน้ำราก ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย คือ 3 ปางควายในเวียงหนองหล่มที่ยังยืนหยัดรักษาวิถีดั้งเดิมอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

เวียงหนองหล่มหรือเวียงหนองล่มชื่อเรียกพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดจากการยุบตัวของแผ่นเปลือกโลกรอยเลื่อนแม่จัน คนทั่วไปรู้จักในนามแอ่งเชียงแสน มีพื้นที่ประมาณ 2.5 หมื่นไร่ ปัจจุบันเหลือเพียง 1.5 หมื่นไร่ ผืนเดียวกันกับทะเลสาบเชียงแสนและหนองบงกาย แหล่งรองรับน้ำหลากยามฤดูฝน และเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำคัญยามฤดูแล้ง มีแม่น้ำลัวไหลเชื่อมลงสู่แม่น้ำกก เป็นเส้นทางเดียวที่ปลาจากแม่น้ำกกสามารถอพยพขึ้นมาวางไข่ได้ ครอบคลุมพื้นที่ ต.จันจว้า ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน และต.โยนก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีชุมชนตั้งรายรอบพื้นที่ประมาณ 19 ชุมชน

ยื้อเวลาช่วงสุดท้ายปางควายเวียงหนองหล่ม

 

กรมป่าไม้ร่วมกับสหพันธ์เพื่อการอนุรักษ์โลกได้ประกาศให้พื้นที่แอ่งเชียงแสนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญของเอเชียในปี พ.ศ.2532 ตามเกณฑ์ของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (อนุสัญญาแรมซาร์) จากการสำรวจของนักวิจัยชาวบ้านปางควายเวียงหนองหล่มและกลุ่มเยาวชนยุววิจัยบ้านห้วยน้ำราก สำรวจพบพันธุ์ปลาในเวียงหนองหล่มประมาณ 50 ชนิด โดยแบ่งออกเป็นปลาต่างถิ่น 9 ชนิด ปลาท้องถิ่น 31 ชนิด เป็นปลาหายากหรือปลาที่หายไปจากเวียงหนองหล่มถึง 13 ชนิด และอาชีพการทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ และการหาปลา เป็นอาชีพหลักของชุมชนรอบเวียงหนองหล่ม โดยมีปลาไหลเป็นปลาที่ขึ้นชื่อในพื้นที่ทั้งในเรื่องปริมาณและรายได้ให้คนหาปลาตลอดทั้งปี

“คนสมัยก่อนเลี้ยงควายกันทุกบ้าน อย่างน้อยก็ครอบครัวละ 1-2 ตัว ใครมีฐานะดีก็มีเยอะ ควายแต่ก่อนใช้ไถนา ลากเกวียนขนของ ขอให้มีควายก็อยู่ได้ ใครไม่มีนาก็ให้เขาเช่าควายแลกข้าว ควายนี่เลี้ยงกันมาหลายรุ่นแล้ว ลุงเกิดมาก็เห็นควาย เลี้ยงควายมาตั้งแต่เด็ก ปล่อยในหนองปล่อยหากินเอง เมื่อถึงหน้าทำนาก็ต้อนออกมา ฝึกไถนาหรือให้เช่าทำนา เสร็จจากไถนาก็สู่ขวัญควายเพราะว่าได้ใช้งาน ได้ทุบได้ตีมันจะได้บ่มีบาปต่อกัน แล้วก็ปล่อยในหนองเหมือนเก่า ระหว่างเลี้ยงควายก็เก็บผัก หาปลา หาเห็ดหน่อ ต่อ แตน หรือสัตว์ป่า งู กระต่าย นก หรือสัตว์ที่มีในพื้นที่หาไว้เป็นอาหารในมื้อต่อๆ ไป หากได้เยอะก็ขายบ้าง”

ลุงผัด แก้วรากมุข ผู้เฒ่าปางควายบ้านห้วยน้ำราก ซึ่งตลอดชีวิต 62 ปีที่ผ่านมาคลุกคลีอยู่กับการเลี้ยงควาย เล่าให้ฟังด้วยใบหน้าอมยิ้ม แต่พลันเมื่อความเป็นจริงในปัจจุบันกระตุกเตือนก็ต้องถอนหายใจเฮือก

“คนเลี้ยงควายเหลือบ่กี่เจ้าแล้ว ส่วนใหญ่ขายเกือบหมด ล่าสุดบ้านแม่ลัวทั้งหมู่บ้านได้ขายควายเกือบ 1,400 ตัว ขณะนี้เหลือ 3 ปาง คือ ปางบ้านห้วย บ้านดงต้นยาง และปางป่าสักหลวง เพราะว่าพื้นที่เลี้ยงควายลดลง เลี้ยงยากต้องดูแลแบบคลาดสายตาไม่ได้ เดี๋ยวเข้าสวนเข้าไร่เขาเสียเงินเสียทองอีก หน้าแล้งก็น้ำแห้งน้ำแล้งบ่มีน้ำก็บ่มีหญ้าให้ควายกิน มันเหนื่อย”

การเผชิญภาวะวิกฤตทำให้ปางควายบ้านป่าสักหลวง บ้านดงต้นยาง และปางควายบ้านห้วยน้ำราก ได้รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือกัน โดยตั้งกลุ่ม “สามัคคีปางควาย” ขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันรักษาวิถีการเลี้ยงควาย อาชีพที่ทำกินเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวมานมนานให้คงอยู่ต่อไป

กำจร จินดาธรรม คนเลี้ยงควายปางบ้านป่าสักหลวง รองประธานกลุ่มสามัคคีปางควาย เล่าถึงสถานการณ์ว่า พื้นที่เลี้ยงควายลดลงอย่างมาก การเลี้ยงยากขึ้น ยิ่งหน้าแล้งหญ้าไม่เพียงพอ ไม่มีหน่วยงานใดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทำเรื่องขอไปได้บ้างไม่ได้บ้าง ต่างคนต่างขอจึงตกลงกันรวมกันเป็นกลุ่มสามัคคีปางควาย

ยื้อเวลาช่วงสุดท้ายปางควายเวียงหนองหล่ม

 

“แต่ก่อนเคยต่อสู้เรื่องพื้นที่เลี้ยงควาย กว่าจะได้พื้นที่ปางควายบ้านป่าสักหลวงจากนายทุนก็ต้องเอาชีวิตไป แต่อยู่ก็ตายก็เลยเสี่ยงสู้ การลุกขึ้นสู้ของคนปางควายเพื่อรักษาพื้นที่สาธารณะในครั้งนั้นจึงมีปางควายบ้านป่าสักหลวงในวันนี้ ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มเคยขอโครงการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ไป เขาก็มาไถที่หว่านหญ้าแล้วปักป้ายถ่ายรูปแล้วก็หาย หญ้าไม่ขึ้น ทุกวันนี้ค่อนข้างล้า อยากให้ผู้ใหญ่ในพื้นที่หันมาสนใจคนเลี้ยงควายบ้าง แต่อ้ายยังคงยืนยันดำเนินวิถีชีวิตแบบพอเพียงตามพระราชดำรัสพระเจ้าอยู่หัวให้นานเท่าที่จะทำได้”

พื้นที่อันอุดมสมบูรณ์กำลังเปลี่ยนแปลง และวิถีการหาอยู่หากินสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนก็กำลังจะเปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่าภาพฝูงควายนับร้อยตัวหากินริมหนองน้ำ คนเลี้ยงควายส่งยิ้มเอ่ยคำทักทายผู้ผ่านทางจะยังคงอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่

ตำนานเวียงหนองหล่มเล่าสืบต่อว่ากันว่า เจ้าสิงหนวัติกุมารเมืองราชคฤห์อพยพผู้คนมายังแคว้นที่เคยเป็นเมืองสุวรรณโคมคำ พญานาคชื่อพันธุนาคราช ได้เนรมิตสร้างเมืองให้จึงตั้งชื่อเมืองว่านาคพันธุสิงหนวัตินคร ชาวเมืองอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขมาหลายชั่วอายุคน จนถึงรัชสมัยพระมหาชัยชนะ กษัตริย์ที่มิชอบด้วยศีลธรรม บ้านเมืองจึงวุ่นวาย วันหนึ่งชาวเมืองจับปลาไหลเผือกลำตัวเท่าต้นตาลยาว 7 วาเศษได้จากแม่น้ำกก พระมหาชัยชนะรับสั่งให้แบ่งเนื้อปลาไหลแจกจ่ายชาวเมืองให้ทั่ว แต่มีหญิงม่ายคนหนึ่งไม่ได้ไปรับส่วนแบ่ง

คืนนั้นพญานาคแปลงกายเป็นมนุษย์ออกตามหาลูกที่หายไป เมื่อมาถึงบ้านหญิงม่ายได้เข้าไปขอพัก ได้กลิ่นหอมคลุ้งที่ชาวบ้านน้ำเนื้อปลาไหลเผือกไปทำอาหารจึงถามหญิงม่ายว่ากลิ่นอะไร หญิงม่ายจึงสาธยายเรื่องปลาไหลเผือกให้ฟัง พญานาคล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก จึงบอกกับหญิงม่ายว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติในตอนกลางคืนอย่าตื่นตกใจ ให้นอนต่อจนรุ่งสางค่อยออกจากบ้าน คืนนั้นเกิดเสียงฟ้าร้องแผ่นดินลั่น หญิงม่ายนึกถึงคำของพญานาคในร่างมนุษย์จึงนอนต่อ พอรุ่งเช้าตื่นมาพบว่าทั้งเมืองกลายเป็นหนองน้ำล้อมรอบบ้านไปทั้งหมดแล้ว

ตำนานในอดีตอาจเปรียบได้กับปัจจุบัน การรุกล้ำทำลายความอุดมสมบูรณ์ ระบบนิเวศน์ของเวียงหนองหล่ม โดยเกษตรเชิงเดี่ยวและสารพัดโครงการขุดลอก ถมพื้นที่เวียงหนองหล่ม อาจเหมือนกับการที่ชาวเมืองกำลังแล่เถือเนื้อปลาไหลเผือกแบ่งปันกัน ท้าทายต่อความโกรธแค้นของพญานาคผู้เป็นพ่อของปลาไหลเผือก

หรือเวียงหนองหล่มถึงเวลาต้องล่มสลายอีกครั้ง

 

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025