วิธีมัดใจนักธุรกิจเกาหลีเมื่อแรกพบ (1)
ช่วงเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา “เชกา” ได้รับคำถามจากนักธุรกิจไทยหลายท่านถึงวิธีการเริ่มต้นธุรกิจกับนักธุรกิจเกาหลี บางท่านต้องการที่จะเปิดตลาดใหม่ในเกาหลี บางท่านต้องการที่จะซื้อสินค้าเกาหลี และมี Sourcing Agent ในเกาหลี...แต่ปัญหาใหญ่ที่ทุกรายประสบกัน คือ “พูดกันไม่รู้เรื่อง”
ช่วงเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา “เชกา” ได้รับคำถามจากนักธุรกิจไทยหลายท่านถึงวิธีการเริ่มต้นธุรกิจกับนักธุรกิจเกาหลี บางท่านต้องการที่จะเปิดตลาดใหม่ในเกาหลี บางท่านต้องการที่จะซื้อสินค้าเกาหลี และมี Sourcing Agent ในเกาหลี...แต่ปัญหาใหญ่ที่ทุกรายประสบกัน คือ “พูดกันไม่รู้เรื่อง”
ภาษาดูเหมือนจะเป็นอุปสรรค เพราะฝั่งเกาหลีพูดอังกฤษกับไทยไม่ได้ และฝั่งไทยก็พูดเกาหลีไม่เป็น (แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าพูด “ไทยลิช” ได้ดี...เอิ๊กกก...) เกาหลีจัดงานแสดงสินค้าปีหนึ่งๆ หลายงาน ไทยเราไปเป็นทั้งผู้เข้าชมและผู้ขาย แต่ละครั้งเสียค่าใช้จ่ายมากมาย ทว่า แม้พยายามติดต่อมา 23 ครั้งแล้ว ก็ยังต่อกันไม่ติดเพราะสื่อสารกันไม่ได้ ดังนั้น หลายๆ ท่านจึงขอให้ช่วยแนะนำล่ามบ้าง นักเรียนไทยที่ยังเรียนอยู่ที่เกาหลีบ้าง บริษัทใหญ่ๆ ตั้งใจจะสอยนักเรียนไทยมาเข้าสังกัดแต่เนิ่นๆ จบกลับมาจะได้มีบุคลากรพร้อมรองรับธุรกิจสายเกาหลี...
ปัญหาเรื่องภาษาอาจจะแก้ได้ตามความชำนาญเฉพาะตัวของล่าม... ทว่า สิ่งหนึ่งที่กลับหลงลืมกันไป คือ “ใจ” ... เมื่อเข้า “ใจ” แล้ว มนุษย์ก็ตกลง “ใจ” ได้ และใช้เหตุผลของตนตัดสิน “ใจ” ...ทว่า “ใจ” เป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ ควบคุมได้ยาก และเปลี่ยนแปลงได้เพียงเสี้ยววินาที เมื่อได้รับการป้อนข้อมูลจากอายตนะหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ...ซึ่งจับคู่กับผัสสะทั้งหก คือ รูปภาพลักษณ์ที่เห็นทางตา...เสียงที่ได้ยินทางหู...กลิ่นที่ได้รับทางจมูก...รสชาติที่ได้ลิ้มลองทางลิ้น...สัมผัสทางกายกับสิ่งที่จับต้องได้ และอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ... เจ้าตัวความรู้สึกทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจนี่ล่ะเป็นสิ่งที่สำคัญ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเซลส์ขายของที่รูปลักษณ์ดีจะมียอดขายสูง สินค้าที่จับต้องได้ลองชิมได้จะมียอดขายมากขึ้น ผู้เข้าสัมภาษณ์งานที่หน้าตาสวยสดใสจะมีแนวโน้มได้งานมากกว่า... ลองนึกถึงหนังเงียบ “มิสเตอร์บีน” ดูสิคะ ไม่มีคำพูดเลยสักคำ แต่ฮิตติดกันทั่วโลก ดังนั้นจะกล่าวว่าภาษาเป็นอุปสรรคอย่างเดียวคงไม่ถูกนัก
ในภาษาเกาหลีมีคำหนึ่งอธิบายเรื่องนี้ คือ...“ภฮป๓ภฬ มมฝภดฯดูอินซางิ ช๊ดซึมนิดะ” คำว่า “ภฮป๓” แปลตามเนื้อผ้าของเรื่องนี้ได้ 2 ความหมาย คือ 1.ความรู้สึกประทับใจ กับ 2.ลักษณะท่าทางที่มองเห็น...ประโยคข้างต้น แปลความได้ว่า “รู้สึกประทับใจกับคนคนนี้ (ดูท่าทางดีนะ)” ตีความได้ว่า นางจะได้งานที่สัมภาษณ์...การเจรจาที่คุยกันมาก่อนหน้านี้มีแนวโน้มจะสำเร็จหรือได้รับความร่วมมืออย่างดีค่ะ...แต่ถ้าเจอ “ภฮป๓ภฬ มมม๖ พสฝภดฯดูอินซางิ ช๊ดจิ๊ อันซึมนิดะ” ล่ะก็ งานนี้เห็นทีจะยาก เนื่องจากไม่เกิดความประทับใจ (ดูท่าทางไม่ดีเลย)
ดังนั้น ความรู้สึกแรก หรือ “ช๊อด อินซางรน ภฮป๓” จึงสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ เพราะคนเกาหลีชอบที่จะประเมินคนตั้งแต่แรกพบ...เช่น เมื่อโยกย้ายประธานบริษัทคนใหม่มาจากเกาหลี บริษัทซัพพลายเออร์บางเจ้าที่เคยซื้อขายกันมานานนับ 10 ปี ตกม้าตายตั้งแต่ตอนมาแนะนำตัว เพราะ “ช๊อด อินซางรน ภฮป๓” ที่ประธานคนใหม่รู้สึกไม่ค่อยดีนี่แหละ...(ต่อฉบับหน้า)...
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถึง 28 ต.ค.นี้ค่ะ อย่าลืมแวะไปที่บูธของโพสต์ พับลิชชิง Plenery Hall H01 นะคะ ปีนี้โพสต์บุ๊กส์มีหนังสือน่าสนใจออกมากมาย แต่ที่ “สาวก” ละครพีเรียดเกาหลีสอบถามมายัง “เชกา” อย่างล้นหลามได้ฤกษ์คลอดแล้วค่ะ (หลังจากที่ดองเป็นลูกกรอกอยู่นาน)
“ประวัติศาสตร์เกาหลี” ฉบับสมบูรณ์ที่สุด เท่าที่จะสามารถมีในเมืองไทย โดย จอมยุทธ์มือหนึ่งในวงการหนังสือแปลเกาหลี และภาษาเกาหลี “ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน” จากสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์...อ่านจบไปลำดับญาติวงศ์ ซอนต๊อก มูยอล เซจง ดงยี ลีซาน อีกั๊ค ได้เอง สังคมเกาหลีโบราณเป็นอย่างไร ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้... หาคำตอบได้ในหนังสือเล่มนี้ค่ะ..


