posttoday

วัดอุโปสถาราม ศาสนสถานที่หน้ากราบไหว้บูชา แห่งสะแกกรัง

14 ตุลาคม 2555

จ.อุทัยธานี รุ่มรวยไปด้วยที่เที่ยวที่มีชื่อเสียง นอกจากห้วยขาแข้ง อันเป็นมรดกโลกแล้ว ยังมีศาสนสถานและโบราณสถานอีกหลายแห่ง เช่น วัดอุโปสถาราม ต.สะแกกรัง อ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี ที่อยู่ตรงกันข้ามกับตลาดอำเภอเมืองอุทัยธานี เป็นต้น

จ.อุทัยธานี รุ่มรวยไปด้วยที่เที่ยวที่มีชื่อเสียง นอกจากห้วยขาแข้ง อันเป็นมรดกโลกแล้ว ยังมีศาสนสถานและโบราณสถานอีกหลายแห่ง เช่น วัดอุโปสถาราม ต.สะแกกรัง อ.เมืองอุทัยธานี จ.อุทัยธานี ที่อยู่ตรงกันข้ามกับตลาดอำเภอเมืองอุทัยธานี เป็นต้น

วัดนี้มีแม่น้ำสะแกกรังคั่นอยู่ระหว่างวัดกับตลาด มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูแล้วต้องบอกว่าคุ้มค่าที่มาอุทัยฯ สมราคาที่กรมศิลปากร พาสื่อมวลชนไปเปิดหูเปิดตา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ตามโครงการสื่อมวลชนสัญจรยิ่งนัก

ทำเลที่ตั้งวัดเด่นมาก เมื่อยืนฝั่งตลาดจะเห็นเสน่ห์ของวัด เช่น กลุ่มอุโบสถ วิหาร เจดีย์ 3 สมัย และมณฑปแปดเหลี่ยมสีขาวงามสง่า เหมือนตั้งอยู่บนเกาะสวรรค์ เรียกศรัทธาของพุทธศาสนิกชนให้เดินข้ามสะพาน ที่ทอดข้ามแม่น้ำสะแกกรัง ไปที่วัดได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ข้อมูลที่กรมศิลปากรจัดให้ บอกว่าอาณาเขตของวัดร่มรื่นมีพื้นที่ประมาณ 23 ไร่เศษ ประกอบด้วยเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส บางส่วนใช้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ได้แก่ ถนนและโรงเรียน

สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดประกอบด้วย พระอุโบสถและพระวิหาร ที่ภายในงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง หอประชุมอุทัยธรรมสภาที่เป็นอาคารไม้สักทั้งหลัง และแพโบสถ์น้ำที่สร้างเพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

มณฑปแปดเหลี่ยม และเจดีย์ 3 องค์ 3 สมัย

สิ่งของพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้แก่หลวงพ่อจัน วัดโบสถ์ เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นที่เมืองอุทัยธานี เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2449 อาทิ ฝาบาตรประดับมุก บาตรเนื้อลงหิน บาตรเคลือบ ย่ามเสด็จประพาสยุโรป หม้อน้ำกระโถนปากแตร แจกัน เป็นต้น ซึ่งพระครูอุเทศธรรมโฆษิต เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เก็บรักษาไว้อย่างดีและปลอดภัย

วัดอุโปสถาราม ศาสนสถานที่หน้ากราบไหว้บูชา แห่งสะแกกรัง

 

วัดอุโปสถารามเดิมชื่อ วัดโบสถ์มโนรมย์ สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2425 โบราณสถานของวัดเป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น พระวิหาร หน้าบันมีภาพเขียนเต็มทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (ด้านหลังเป็นปูนปั้นภาพพระฤาษีและลิง 2 ตัว คล้ายกับฤาษีเลี้ยงลิง)

ตัววิหารเป็นอาคารขนาด 4 ห้อง ทางเข้า 2 ประตู วงกบประตูด้านบนมีทรงกลมคล้ายทรงยุโรป ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ เป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ (ยกพระหัตถ์ขวาเสมอพระอุระ พระหัตถ์ซ้ายวางแนบข้างพระวรกาย) บนฐานชุกชีมีพระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของพระประธานอีก 2 องค์ นอกจากนี้แล้ว ในวิหารน่าจะมีพระพุทธรูปมากกว่าที่เห็น เพราะมีฐานสำหรับพระพุทธรูปยืนเหลืออยู่ แต่องค์พระไม่มีแล้ว

จุดนักท่องเที่ยวสนใจคือภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน ที่เล่าเรื่องพุทธประวัติ พระมาลัย พระอสีติมหาสาวก และอสุภกรรมฐาน 10 เป็นฝีมือช่างเขียนชาวบ้าน แต่การให้สี และลายเส้นของภาพพออวดได้ แม้ว่าจะเลือนไปบ้างเพราะกาลเวลาก็ตาม แต่ก็เป็นของที่ควรภูมิใจ เช่นเดียวกับพระอุโบสถ

สถาปัตยกรรมในอุโบสถ

พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และงดงาม ก่อสร้างโดยฝีมือช่างชั้นครู ตั้งอยู่บนฐานไพทีคู่กับวิหารแต่มีขนาดต่ำกว่า หันหน้าสู่ทิศตะวันออก เป็นอาคารเครื่องก่อ ขนาด 4 ห้อง ตอนหน้ามีมุข ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 5 องค์ อยู่บนฐานชุกชีเดียวกัน ตัวอาคารพระอุโบสถได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้ง ทำให้ลักษณะดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไป

ภายในพระอุโบสถ มีภาพจิตรกรรมทั้ง 4 ด้าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติยาวติดต่อกัน โดยดำเนินเรื่องตามที่ปรากฏในปฐมสมโพธิกถา

น่าทึ่งกับภูมิปัญญาช่างเขียนภาพฝาผนัง และช่างก่อสร้างที่ตั้งพระประธานให้เป็นประธานของอุโบสถและของภาพมารผจญที่เป็นฉากประกอบด้านหลังได้อย่างกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดีมาก ต่างจากภาพเขียนมารผจญที่อื่นๆ ที่เป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์ มีแม่พระธรณีบีบมวยผมอยู่ใต้บัลลังก์นั้น

น่าเสียดายที่ภาพต่างๆ นั้นดูคล้ำไป เป็นเพราะมีผู้หวังดีนำแล็กเกอร์ไปทาทับ นัยว่าเพื่อรักษาภาพให้คงถาวร แต่กลับทำให้ภาพคล้ำไปเลย

ภาพเหล่านี้ แม้จะเป็นฝีมือช่างสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่มีคุณค่ายากที่จะประมาณได้ ปัจจุบันกรมศิลปากรดูแลรักษา

พ.ศ. 25182519 มีการบูรณะครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น เปลี่ยนเครื่องบนจากไม้เป็นคอนกรีต เครื่องลำยอง ซึ่งประกอบด้วย ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ของเดิมเป็นไม้ถูกเปลี่ยนเป็นปูนซีเมนต์หล่อถอดพิมพ์ ที่ตอนล่างของพระอุโบสถด้านในมีการบุผนังด้วยกระเบื้องเคลือบ ช่องหน้าต่างถูกขยายให้ใหญ่กว่าเดิม ทำให้คุณค่าทางศิลปะสกุลช่างเดิมลดลง

เจดีย์

เจดีย์สามสมัย เป็นเจดีย์รูปแบบต่างกัน สร้างอยู่บนฐานไพทีเดียวกันกับวิหารและอุโบสถตั้งเรียงเป็นแนวเดียวกันอยู่หลังพระวิหารและพระอุโบสถ

เจดีย์องค์ที่อยู่หลังวิหาร เป็นเจดีย์ทรงระฆัง มีขนาดสูงประมาณเท่าความสูงของวิหาร ส่วนฐานของเจดีย์ประกอบด้วยเขียงถัดขึ้นไปเป็นฐานบัว ตรงบัวหงายทำลวดลายปูนปั้นเป็นรูปกลีบบัวประดับอยู่โดยรอบ ส่วนกลางเจดีย์เป็นฐานเขียงซ้อนกัน 2 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นรูปบัวคว่ำ ท้องไม้ บัวปากระฆัง และองค์ระฆังทรงกลม ส่วนยอดเจดีย์ประกอบด้วย บัลลังก์ เสาหาน บัวฝาละมี ปล้องไฉน บัวกลุ่มเถา ปลีลูกแก้ว ปลียอด และเม็ดน้ำค้าง

เจดีย์องค์กลางอยู่ระหว่างพระวิหารและอุโบสถ เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนฐานประกอบด้วยหน้ากระดานล่าง บัวคว่ำ ท้องไม้ ฐานเขียงรองรับฐานสิงห์ไว้อีกชั้นหนึ่ง ส่วนเรือนธาตุทำเป็นซุ้มจระนำยื่นออกมาทั้ง 4 ทิศ ภายในซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปต่างๆ ทิศเหนือและทิศตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทิศตะวันตกเป็นพระพุทธรูปปางถวายเนตร ทิศใต้ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ เหนือซุ้มจระนำมียอดเจดีย์ประดับอยู่ ต่อจากเรือนธาตุเป็นบัลลังก์รองรับบัวกลุ่มถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆังย่อไม้ยี่สิบ ส่วนยอดของเจดีย์เป็นบัวกลุ่ม เถาปลี ลูกแก้ว ปลียอดและเม็ดน้ำค้าง

วัดอุโปสถาราม ศาสนสถานที่หน้ากราบไหว้บูชา แห่งสะแกกรัง

 

เจดีย์ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยม ส่วนฐานประกอบด้วยฐานบัว 8 เหลี่ยมซ้อนกัน 3 ชั้น ส่วนกลางของเจดีย์เป็นทรงระฆัง 8 เหลี่ยมฉาบปูนเรียบ ส่วนยอดเจดีย์ประกอบด้วยบัลลังก์ ก้านฉัตร บัวฝาละมี ปล้องไฉน บัวกลุ่ม ปลียอด

จากรูปแบบทางศิลปกรรมสันนิษฐานว่า เจดีย์ทั้ง 3 องค์ น่าจะสร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน คือ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

มณฑปแปดเหลี่ยม

มณฑปสร้างใน พ.ศ. 2442 เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของวัดอุโปสถารามมีแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง หลวงพิทักษ์ภาษา (บุญเรือง พิทักษ์อรรณพ) ตั้งใจสร้างถวายให้ พระสุนทรมุนี (จัน) เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เพื่อจำพรรษา (เดิมเป็น พระครูอุไททิศธรรม เจ้าอาวาสวัดอุโปสถาราม) แต่มรณภาพพอดี จึงใช้เป็นที่ตั้งศพและบรรจุอัฐิพร้อมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ของท่าน

มณฑปแปดเหลี่ยมมีลักษณะเป็นตึกแปดเหลี่ยม 2 ชั้น ทรงยุโรป มีบันไดขึ้นชั้นบนสองทางอยู่ด้านนอก มีซุ้มหน้าตึกทำเป็นมุขยื่นออกมาเหนือกรอบหน้าต่าง ตกแต่งลวดลายด้วยปูนปั้น มุมตึกด้านทิศใต้ทำห้องยื่นคล้ายมุขบันได ด้านหน้าแต่งเป็นห้องเก็บของ ผนังด้านนอกมีลายปูนปั้นเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร (ประจำวันพุธ) อยู่ตรงกลางประกอบด้วยลวดลายนกหงส์ฟ้า นกกระสา ฝีมือช่างจีนสวยงาม

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือเมื่อปี พ.ศ. 2449 เคยเสด็จฯ มาที่วัด และประทับที่โบสถ์แพลอยน้ำหน้าวัด

โบสถ์แพนี้เดิมเป็นแพแฝด 2 หลัง มีช่อฟ้าใบระกาเหมือนอุโบสถทั่วไป หน้าบันมีป้ายวงกลมจารึกภาษาบาลี “สุ อาคตเต มหาราชา” แปลว่า มหาราชาเสด็จฯ มาดี ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ได้บูรณะใหม่เป็นหลังเดียวยกพื้น 2 ชั้น ให้เป็นสัดส่วนอาสนะสำหรับสงฆ์ และพื้นที่นั่งสำหรับฆราวาสหลังคาทรงปั้นหยา และย้ายป้ายกลมมาไว้หน้าจั่วตรงกลาง ปัจจุบันแพโบสถ์น้ำหลังนี้ชาวบ้านได้ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา เช่น แต่งงาน บวชนาค งานศพ และทำบุญต่างๆ

หากท่านผู้อ่านเดินทางไปอุทัยฯ เมืองที่น่าทึ่งแห่งนี้ นอกจากชื่นชมและซื้อของต่างๆ (เช่น ยาลม และขนมปังสังขยา) ในตลาด ซึ่งในวันเสาร์ปิดถนนให้คนเดินที่ตรอกโรงยา ข้ามสะพานไปหาความสุขจากการทำบุญในวัดอีกฟากหนึ่ง จึงจะได้ชื่อว่าถึงสะแกกรัง

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด ตะกร้อทีมชุดชาย ไทย พบ มาเลเซีย วันนี้ 14 ธ.ค.68