วลีที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง
เราคงไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ว่าสิ่งที่ครูกวีศรีสยามท่านขุนสุนทรโวหาร หรือสุนทรภู่ ท่านรจนาไว้ว่า “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” และ “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ” นั้นเป็นความจริง
เราคงไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ว่าสิ่งที่ครูกวีศรีสยามท่านขุนสุนทรโวหาร หรือสุนทรภู่ ท่านรจนาไว้ว่า “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” และ “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ” นั้นเป็นความจริง
การที่ผู้คนพูดดีต่อกันก็ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน การที่ผู้คนพูดไม่ดีต่อกันก็ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกัน ดังนั้นการจะพูดอะไรกันก็จะต้องระมัดระวัง แต่ความระมัดระวังในการพูดจาต่อผู้คนคนหนึ่งคนใดนั้น แม้จะต้องระมัดระวังแล้ว การพูดต่อสาธารณะยิ่งจะต้องระมัดระวังกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดในลักษณะที่เป็นผลร้าย ยั่วยุ หรืออาจจะก่อให้เกิดการไปกระทำความผิดสืบเนื่องจากคำพูดนั้นได้
มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา โดยโครงการเสริมสร้างสื่อมวลชนศึกษาเพื่อสุขภาวะ หรือที่เราอาจจะคุ้นชื่อกันว่า มีเดีย มอนิเตอร์ (Media Monitor) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “วลีที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง” หรือ Hate Speech โดยมุ่งมองไปที่วลีที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นหลัก
วลีที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังนั้นได้ถูกนิยามโดยนักวิชาการหลายท่าน แต่โดยรวมแล้วความหมายของวลีเช่นว่าคือ คำพูดที่มุ่งร้ายต่อบุคคลอื่น หรือคำพูดที่แสดงความจงเกลียดจงชัง ความอาฆาตมาดร้าย การดูถูก ดูหมิ่น การเหยียดหยาม การเสียดสี ทิ่มแทง การแบ่งแยก การชี้นำในทางที่ไม่ดี การปลุกปั่น ยุยง ยั่วยุ และวลีหรือคำพูดในลักษณะเหล่านี้อื่นๆ ทั้งหลายที่ก่อให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบมากๆ แก่ผู้คนในสังคม จนกระทั่งถึงก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกันและกัน โดยผู้พูดสิ่งต่างๆ เหล่านี้มักจะพูดโดยเล็งเห็นผลได้ว่าจะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบ หรือประสงค์ต่อผลเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันในหมู่ผู้คน
ในการศึกษาของโครงการเสริมสร้างสื่อมวลชนศึกษาเพื่อสุขภาวะ หรือมีเดีย มอนิเตอร์นั้น ได้มุ่งมองไปที่วลีที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง 3 ประเภท คือ วลีที่เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ วลีที่ลดคุณค่า และวลีที่ชี้นำสู่ความรุนแรง โดยการศึกษาเป็นการจับช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 12–18 มิ.ย. 2555 ที่มีความขัดแย้งทางการเมือง กรณีการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 วาระ 3 โดยพิจารณาในเว็บไซต์และทีวีดาวเทียม และได้มีการบอกเล่าต่อสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2555
ผลการศึกษาทำให้เห็นถึงคำพูดสารพัดสารพันที่ผู้คนสรรหากันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเว็บไซต์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น บรรดาวลีที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก็เช่นเปรียบเทียบเป็นสัตว์ หรือเปรียบเทียบกับสัตว์ต่างๆ เหยียดชนชั้น เปรียบเทียบกับอมนุษย์
บรรดาวลีที่ลดคุณค่าก็เช่น กล่าวถึงว่าเป็นคนโหดร้าย เหี้ยมโหด ชั่วช้า ด้วยคำด่าและคำหยาบคายต่างๆ การกล่าวว่าเป็นคนโง่เขลาด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าโง่ การกล่าวถึงความน่าเกลียด ขยะแขยง ด้วยถ้อยคำอันหยาบโลน และการระบุว่าเป็นคนบ้า หน้าด้าน เสียสติ อะไรทำนองนี้
บรรดาวลีที่ชี้นำสู่ความรุนแรงก็จะประกอบไปด้วย การข่มขู่ อาฆาตมาดร้าย ปลุกปั่น ยุยง ชี้นำให้กระทำการรุนแรง ขู่ฆ่า และนำเอาคำด่าต่างๆ มาประกอบเป็นการคุกคามทางความคิดและทางคำพูด
เมื่อเราเห็นคำพูดเหล่านี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะคิดขึ้นมาก็คือ “คนไทยเราเกลียดกันขนาดนี้เลยหรือ” ซึ่งก็ไม่อาจจะทราบได้ว่าความรู้สึกที่แท้จริง และการกระทำที่สืบเนื่องจะเป็นเช่นเดียวกันกับสิ่งที่พูดออกมาหรือไม่ แต่หากพิจารณาอย่างไม่ซับซ้อน คนเราพูดอะไรก็มักจะออกมาจากความคิด ไม่ว่าจะคิดโดยมีสติในทางที่ดี คือ สัมมาสติ หรือคิดโดยมีสติในทางที่ไม่ดี คือ มิจฉาสติ
คำพูดนั้นจึงเป็นสิ่งแสดงความคิดและความรู้สึก แม้จะมีบ้างบางคนสักแต่ว่าพูดในแง่ลบแบบพูดพล่อยๆ หรือพูดเพ้อเจ้อไปก็มี แต่การพูดเช่นนั้นแม้จะไม่ได้มุ่งไปในทางที่ร้าย แต่กระบวนความคิดที่ก่อให้เกิดคำพูดเช่นนั้นก็ไม่สู้ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นการพูดที่หวังผลให้เกิดตามคำพูดในทางปฏิบัติ โดยมีความชัดเจนอยู่ในตัวนั้น ก็ปฏิเสธยากว่าไม่ได้พูดในทางร้ายเพื่อให้เกิดผลร้าย
หากเราต้องการให้สังคมไทยรักและสามัคคีกัน หรืออย่างน้อยไม่เกลียดกันและไม่ร้าวฉาน เราก็จะต้องช่วยกันทำให้สังคมตระหนักถึงอันตราย และผลร้ายจากการที่พวกเราใช้วลีที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกัน ยิ่งเราพูดกันดีเท่าไร เราก็จะยิ่งรู้สึกดีต่อกัน ยิ่งเราพูดกันร้ายเท่าไร เราก็จะยิ่งรู้สึกร้ายต่อกัน ดังนั้น “จะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ”


