จำนำข้าวทุจริตประกันราคาก็ทุจริต
4 เดือน คือระยะเวลาที่ ภูมิธรรม เวชยชัย ยืนยันว่าเป็นช่วงที่รัฐบาลได้ทำงานอย่างจริงจังในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ได้รับเลือกตั้ง เพราะเสียเวลากับพิบัติอุทกภัยและการปรับจูนกำลังคน โดยเฉพาะงบประมาณที่ถูกฝ่ายค้านหั่นงบรายจ่าย ซึ่งยังไม่นับวิกฤตเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งทางการเมืองที่รัฐบาลต้องฝ่ามรสุม ดังนั้นการที่ “ยิ่งลักษณ์” ผลักดันนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภาได้สำเร็จมากถึงขนาดนี้ ภูมิธรรม ระบุว่า “แค่นี้ก็เก่งมากแล้ว”
4 เดือน คือระยะเวลาที่ ภูมิธรรม เวชยชัย ยืนยันว่าเป็นช่วงที่รัฐบาลได้ทำงานอย่างจริงจังในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ได้รับเลือกตั้ง เพราะเสียเวลากับพิบัติอุทกภัยและการปรับจูนกำลังคน โดยเฉพาะงบประมาณที่ถูกฝ่ายค้านหั่นงบรายจ่าย ซึ่งยังไม่นับวิกฤตเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งทางการเมืองที่รัฐบาลต้องฝ่ามรสุม ดังนั้นการที่ “ยิ่งลักษณ์” ผลักดันนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภาได้สำเร็จมากถึงขนาดนี้ ภูมิธรรม ระบุว่า “แค่นี้ก็เก่งมากแล้ว”
“แต่ปีนี้จะเป็นตัววัดฝีมือเขาแบบเนื้อๆ ว่ามีศักยภาพแค่ไหน” เจ้าตัวประเมินก่อนยอมรับว่า อาจมีบางนโยบายที่ทำได้ยากและต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ เช่น การปรองดองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีเสียงข้างมากผลักดันให้เกิดขึ้นได้ แต่สถานการณ์ที่คนในสังคมอยู่บนพื้นฐานของความขัดแย้ง ที่ผ่านมารัฐบาลจึงรู้จักรอ ให้เวลากับสังคมได้ทำความเข้าใจมากขึ้น ไม่ได้ใช้เสียงข้างมากที่มีอยู่ตัดสินใจ แต่ถึงจุดหนึ่งยอมรับว่าต้องมีการตัดสินใจเป็นธรรมดา
โครงการรับจำนำข้าวถือเป็นอุปสรรคในปีที่ 2 ของรัฐบาลไหม? ภูมิธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลยังเดินหน้าเต็มที่ในนโยบายนี้ เพราะเป้าหมายอยู่ที่พี่น้องประชาชน ชาวนา และเกษตรกร ตามที่พรรคเพื่อไทยคิดไว้ตั้งแต่แรก ต่างจากโครงการประกันราคาข้าวของพรรคฝ่ายค้าน ที่เป้าหมายให้น้ำหนักไปที่พ่อค้าและผู้ส่งออก
“ถามว่ามีกระบวนการทุจริตคอร์รัปชันไหม มีทั้งสองฝ่าย ประกันราคาข้าวก็มีการโกงใบประทวน มี 20 ไร่ บอกว่ามี 50 ไร่ มาเบิกเงินเกิน จำนำข้าวก็มีการสวมสิทธิเอาข้าวนอกเข้ามา แต่คำถามควรอยู่ที่ว่าขณะนี้มีการคอร์รัปชันของฝ่ายการเมืองแล้วหรือยัง ถ้าฝ่ายการเมืองได้ประโยชน์ ผมเชื่อว่าสังคมยอมรับไม่ได้ แต่โครงการนี้ต้องรู้จักรอเวลาให้กระบวนการมันครบวงจรว่าขายข้าวได้หรือไม่ มีเงินมาหมุนเวียนเท่าไร ถ้ากำหนดราคาขายได้ เงินที่รัฐลงไปอุ้มชูเกษตรกรมันอาจเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการประกันราคาข้าวก็ได้”
“เสียงวิจารณ์ขณะนี้ก็ต้องฟัง แต่อย่าคิดว่านักวิชาการจะมองอะไรถูกต้องเสมอไป เพราะหลายเรื่องที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยหรือไทยรักไทยเคยทำมา ก็อยู่บนฐานที่ไม่ได้เหมือนกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่หลายคนเชื่อ ในโลกนี้ไม่มีทฤษฎีที่มันถูกต้องเป๊ะ เพราะเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องการคำนวณอนาคต ต้องดูความสำคัญและปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด นักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยก็วิเคราะห์คาดการณ์ผิดมาเยอะแล้ว”
ไม่อธิบายเปล่า ภูมิธรรม ฉายภาพเมื่อครั้งไทยรักไทยคลอดนโยบายว่า
“โครงการกองทุนหมู่บ้าน เราใช้เงินทั้งหมดบนพื้นฐานความคิด คือ ต้องการกระจายทรัพยากร โดยตัดตอนกระบวนการควบคุมทรัพยากรเพื่อลงไปหาประชาชน เอาเงินถ่ายเทจากรัฐลงไปอยู่ที่ชาวบ้านโดยตรง 8 หมื่นหมู่บ้าน เราเชื่อว่าเงิน 8 หมื่นล้าน จะเคลื่อนตัวอยู่ในหมู่ประชาชน และทำให้เกิดการหมุนเวียนของรายได้ขึ้นอีก 6-7 เท่าตัว ถามว่า 8 หมื่นล้าน ดีหมดเลยไหม ไม่ใช่! เสียหายไหม มีเสียหาย แต่รายงานวิจัยของเวิลด์แบงก์ ทีดีอาร์ไอ มีข้อยืนยันว่าเสียหายไม่ถึง 5%”
“ยกตัวอย่างครูมาสอนคณิตศาสตร์แล้วให้การบ้านคุณไป 20 ข้อ คุณก็ทำมาถูก 8 ข้อบ้าง 10 ข้อบ้าง ก็เหมือนประชาชนที่เขาต้องได้โอกาสที่จะเรียนรู้ อย่ามองการเรียนรู้ของประชาชนที่ผิดพลาดเป็นข้อเสียหายที่ให้อภัยไม่ได้ คุณต้องให้กระบวนการที่ทำให้เขาได้ฝึกคิด ฝึกใช้เงิน ฝึกสร้างรายได้ และฝึกสร้างดอกผลให้เกิดขึ้นกับเขา เป็นแบบฝึกหัดทางสังคม ดังนั้นอย่ามองความบกพร่องของประชาชนเป็นข้อสรุปเพียงเพื่อจะปิดโอกาสเขา”
“เอสเอ็มแอลก็เหมือนกัน คุณก็บอกว่าไอ้นี่ประชานิยม เอาเงินลงไปให้เขา 45 แสน แจกเงิน เอ้า! ก็คุณมองจากผู้ให้ มองจากคนที่เหนือกว่า แต่ไม่เคยมองจากมุมชาวบ้านที่เขายากลำบากกว่าจะเข้าถึงงบประมาณ” ภูมิธรรม ย้ำแนวคิดที่เขาเชื่อมั่นจากการอยู่เบื้องหลังผลักดันนโยบายพรรคมานับสิบปี
“เรื่องจำนำข้าวก็เช่นกัน เป็นกระบวนการที่เปิดให้ประชาชนเขาเรียนรู้ เป้าหมายเราอยู่ที่เกษตรกร แต่ถ้าคุณจะมาโยงไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ผมต้องถามถึงจุดยืนของคุณว่ากำลังตัดสินใจบนพื้นฐานของใครได้ประโยชน์ เป็นนักวิชาการคุณมีหน้าที่ต้องมองให้ครบถ้วนกระบวนความ คุณกำลังพูดด้านหนึ่ง แต่เลอะเลือนหรือเมินเฉยที่จะมองอีกด้านหรือไม่
ดังนั้น ให้สังคมเป็นตัวตัดสิน จะผิดถูกเป็นเรื่องในอนาคตที่รัฐบาลต้องทบทวน มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความบกพร่องที่เกิดขึ้น แต่ผมคิดว่าความบกพร่องในทางนโยบายนั้นเป็นความตั้งใจจริง ถ้ามีผลเสียหายอะไรไม่มากก็ควรจะยอมรับได้ ไม่เช่นนั้นการคิดสิ่งใหม่ๆ ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น”


