posttoday

ชาติเสื้อต้องไม่ "White Lise" ชาติไทยไม่เสียความเชื่อมั่น

10 กันยายน 2555

วันนี้ผมขอยกเอาสำนวนที่เคยได้ยินได้ฟังมาเริ่มเปิดประเด็นในวันนี้ นั่นคือประโยคที่ว่า “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” สำนวนนี้ มักใช้เป็นสำนวนเปรียบกับผู้ชาย ที่จะต้องเก่งกล้าสามารถ พูดจริงทำจริง องอาจ น่าเชื่อถือ ผู้ชายทุกคนเปรียบได้กับเสือ เพราะเสือเป็นสัตว์ดุร้ายแต่เก่ง โดยเราจะถือเอาลวดลายบนตัวของมันเป็นสัญลักษณ์ของความเก่งกาจน่าเกรงขาม แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับมีคำพ้องเสียงกับคำว่า “ไว้ลาย” คำหนึ่งที่กลายเป็นเรื่อง Talk of the Town ไปทั่วประเทศ นั่นคือภาษาอังกฤษคำว่า “White Lies” หรือการพูดโกหกสีขาว ที่ท่าน รมว.คลัง ออกมา “โกหกเพื่อชาติ” โดยระบุว่า “ที่ต้องตั้งเป้าตัวเลขเป้าหมายการส่งออกกันไว้ที่ 15% ทั้งๆ ที่ของจริงอยู่ที่ 9% ก็เพื่อ 1.สร้างความเชื่อมั่นและ 2.เป็นเป้าหมายการทำงานรัฐบาล”

วันนี้ผมขอยกเอาสำนวนที่เคยได้ยินได้ฟังมาเริ่มเปิดประเด็นในวันนี้ นั่นคือประโยคที่ว่า “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” สำนวนนี้ มักใช้เป็นสำนวนเปรียบกับผู้ชาย ที่จะต้องเก่งกล้าสามารถ พูดจริงทำจริง องอาจ น่าเชื่อถือ ผู้ชายทุกคนเปรียบได้กับเสือ เพราะเสือเป็นสัตว์ดุร้ายแต่เก่ง โดยเราจะถือเอาลวดลายบนตัวของมันเป็นสัญลักษณ์ของความเก่งกาจน่าเกรงขาม แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับมีคำพ้องเสียงกับคำว่า “ไว้ลาย” คำหนึ่งที่กลายเป็นเรื่อง Talk of the Town ไปทั่วประเทศ นั่นคือภาษาอังกฤษคำว่า “White Lies” หรือการพูดโกหกสีขาว ที่ท่าน รมว.คลัง ออกมา “โกหกเพื่อชาติ” โดยระบุว่า “ที่ต้องตั้งเป้าตัวเลขเป้าหมายการส่งออกกันไว้ที่ 15% ทั้งๆ ที่ของจริงอยู่ที่ 9% ก็เพื่อ 1.สร้างความเชื่อมั่นและ 2.เป็นเป้าหมายการทำงานรัฐบาล”

จากการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ แทนที่ท่านจะได้รับคำชมเชยว่าท่านได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นภาพลบที่ย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของตัวท่านและรัฐบาล โดยถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายในทุกๆ สถานที่ที่ผมไป ไม่ว่าจะเป็นในลิฟต์ รถยนต์ ห้องประชุม ห้างสรรพสินค้า หรือจอโทรทัศน์ก็ตาม ผมคิดว่า ท่าน รมว.คลังก็คงอ่วมอรทัยกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันไปยกใหญ่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ขอซ้ำเติมท่านอีกแล้ว แต่ผมคิดว่า พวกเราน่าจะได้เรียนรู้อะไรผ่านคำพูดของท่านบ้าง

ประเด็นที่ 1 เรื่อง “White Lies” นั้น ตามทฤษฎีแล้วมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ Altruistic White Lies คือการโกหกที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง แต่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ และ Pareto White Lies คือการโกหกที่ให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย (หากคนพูดได้ประโยชน์แต่คนอื่นเสียประโยชน์ก็คือการโกหกขนานแท้ที่เรียกว่า Selfish Black Lies หรือ True Lies) จากการศึกษาของ Erat and Gneezy (2009) พบว่าส่วนใหญ่แล้วเพศชายมีแนวโน้มในการโกหกแบบ Selfish Black Lies และ Pareto White Lies มากกว่าผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะโกหกในลักษณะ Altruistic White Lies มากกว่าผู้ชายอีกด้วย

ประเด็นที่ 2 “White Lies” นั้นจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้หรือไม่? คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะนักลงทุนไม่ใช่คนไข้ที่หมอจะพูดโกหกสีขาว เพื่อให้คนไข้มีกำลังใจในการมีชีวิตต่อไป แต่นักลงทุนต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้การโกหกสีขาว หรือ White Lies ของผู้พูดจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้ฟัง แต่จากการศึกษาของ Kim and Pogach (2009) พบว่าผู้ฟังจะได้ประโยชน์มากกว่าหากผู้พูดมีความซื่อสัตย์และพูดความจริงเมื่อเปรียบเทียบกับการโกหกสีขาว ดังนั้นการพูดความจริงเป็นทางเลือกที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ฟังมากที่สุด เพราะจะทำให้ผู้ฟังได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับกับสถานการณ์จริง

การพูดโกหกสีขาวจะมีผลทางด้านจิตวิทยาให้ผู้ฟังรู้สึกดีก็ต่อเมื่อผู้ฟังไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากผู้ฟังมารู้ข้อเท็จจริงในตอนหลัง ผลเสียจะมีมากกว่ารู้ความจริงเสียอีก หากผู้พูดเลือกที่จะโกหกสีขาว ท่านต้องไม่บอกความจริงให้กับผู้ฟังไม่ว่ากรณีใดก็ตาม มิเช่นนั้นความพยายามพูดโกหกสีขาวจะไม่เกิดประโยชน์และอาจมีโทษมากกว่าพูดความจริงเสียอีก นอกจากนี้เมื่อท่านเลือกที่จะโกหก ท่านก็ควรที่จะเก็บความลับนี้ไว้ เพราะไม่เช่นนั้นท่านก็คงไม่ต่างอะไรกับ “เด็กเลี้ยงแกะ” ที่เด็กๆ คุ้นเคยกัน แม้แต่คำพูดของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยังเชื่อไม่ได้ ต่อไปนี้นักลงทุนก็คงไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว เพราะยังเข็ดขยาดกับคำว่า “เอาอยู่” ที่เกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็มีคำว่า “White Lies” เกิดขึ้นอีกในช่วงนี้ โดยทั้งสองคำนี้ล้วนแล้วแต่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อผู้นำระดับสูงของประเทศทั้งสิ้น

ส่วนอีกประเด็นนั้นเกี่ยวกับหลักการบริหาร ที่การตั้งเป้าหมายต้องมีลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งคือ จะต้องมีความเป็นไปได้ หรือ Achievable แต่ท่านตั้งเป้าหมายที่ตัวท่านเองก็คิดว่ายังไงก็ไปไม่ถึง จึงทำให้เกิดข้อกังขาในเชิงบริหารว่า ท่านมีความเหมาะสมที่จะนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีที่คุมบังเหียนเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ต่อไปหรือไม่? ก็เป็นคำถามที่นายใหญ่ (ตัวจริง) น่าจะขบคิดอยู่บ้างนะครับ m

เอกสารอ้างอิง

Kim, Kyungmin and Jonathan Pogach (2009), Honestry and Whilte Lies, Working Paper. www.ssrn.com.

Sanjiv Erat and Uri Gneezy (2009), White Lies, Working Paper. University of California at San Diago.

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1