ชาติเสื้อต้องไม่ "White Lise" ชาติไทยไม่เสียความเชื่อมั่น
วันนี้ผมขอยกเอาสำนวนที่เคยได้ยินได้ฟังมาเริ่มเปิดประเด็นในวันนี้ นั่นคือประโยคที่ว่า “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” สำนวนนี้ มักใช้เป็นสำนวนเปรียบกับผู้ชาย ที่จะต้องเก่งกล้าสามารถ พูดจริงทำจริง องอาจ น่าเชื่อถือ ผู้ชายทุกคนเปรียบได้กับเสือ เพราะเสือเป็นสัตว์ดุร้ายแต่เก่ง โดยเราจะถือเอาลวดลายบนตัวของมันเป็นสัญลักษณ์ของความเก่งกาจน่าเกรงขาม แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับมีคำพ้องเสียงกับคำว่า “ไว้ลาย” คำหนึ่งที่กลายเป็นเรื่อง Talk of the Town ไปทั่วประเทศ นั่นคือภาษาอังกฤษคำว่า “White Lies” หรือการพูดโกหกสีขาว ที่ท่าน รมว.คลัง ออกมา “โกหกเพื่อชาติ” โดยระบุว่า “ที่ต้องตั้งเป้าตัวเลขเป้าหมายการส่งออกกันไว้ที่ 15% ทั้งๆ ที่ของจริงอยู่ที่ 9% ก็เพื่อ 1.สร้างความเชื่อมั่นและ 2.เป็นเป้าหมายการทำงานรัฐบาล”
วันนี้ผมขอยกเอาสำนวนที่เคยได้ยินได้ฟังมาเริ่มเปิดประเด็นในวันนี้ นั่นคือประโยคที่ว่า “ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” สำนวนนี้ มักใช้เป็นสำนวนเปรียบกับผู้ชาย ที่จะต้องเก่งกล้าสามารถ พูดจริงทำจริง องอาจ น่าเชื่อถือ ผู้ชายทุกคนเปรียบได้กับเสือ เพราะเสือเป็นสัตว์ดุร้ายแต่เก่ง โดยเราจะถือเอาลวดลายบนตัวของมันเป็นสัญลักษณ์ของความเก่งกาจน่าเกรงขาม แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับมีคำพ้องเสียงกับคำว่า “ไว้ลาย” คำหนึ่งที่กลายเป็นเรื่อง Talk of the Town ไปทั่วประเทศ นั่นคือภาษาอังกฤษคำว่า “White Lies” หรือการพูดโกหกสีขาว ที่ท่าน รมว.คลัง ออกมา “โกหกเพื่อชาติ” โดยระบุว่า “ที่ต้องตั้งเป้าตัวเลขเป้าหมายการส่งออกกันไว้ที่ 15% ทั้งๆ ที่ของจริงอยู่ที่ 9% ก็เพื่อ 1.สร้างความเชื่อมั่นและ 2.เป็นเป้าหมายการทำงานรัฐบาล”
จากการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ แทนที่ท่านจะได้รับคำชมเชยว่าท่านได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นภาพลบที่ย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของตัวท่านและรัฐบาล โดยถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายในทุกๆ สถานที่ที่ผมไป ไม่ว่าจะเป็นในลิฟต์ รถยนต์ ห้องประชุม ห้างสรรพสินค้า หรือจอโทรทัศน์ก็ตาม ผมคิดว่า ท่าน รมว.คลังก็คงอ่วมอรทัยกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันไปยกใหญ่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ขอซ้ำเติมท่านอีกแล้ว แต่ผมคิดว่า พวกเราน่าจะได้เรียนรู้อะไรผ่านคำพูดของท่านบ้าง
ประเด็นที่ 1 เรื่อง “White Lies” นั้น ตามทฤษฎีแล้วมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ Altruistic White Lies คือการโกหกที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง แต่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ และ Pareto White Lies คือการโกหกที่ให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย (หากคนพูดได้ประโยชน์แต่คนอื่นเสียประโยชน์ก็คือการโกหกขนานแท้ที่เรียกว่า Selfish Black Lies หรือ True Lies) จากการศึกษาของ Erat and Gneezy (2009) พบว่าส่วนใหญ่แล้วเพศชายมีแนวโน้มในการโกหกแบบ Selfish Black Lies และ Pareto White Lies มากกว่าผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะโกหกในลักษณะ Altruistic White Lies มากกว่าผู้ชายอีกด้วย
ประเด็นที่ 2 “White Lies” นั้นจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้หรือไม่? คำตอบคือ “ไม่ได้” เพราะนักลงทุนไม่ใช่คนไข้ที่หมอจะพูดโกหกสีขาว เพื่อให้คนไข้มีกำลังใจในการมีชีวิตต่อไป แต่นักลงทุนต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้การโกหกสีขาว หรือ White Lies ของผู้พูดจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้ฟัง แต่จากการศึกษาของ Kim and Pogach (2009) พบว่าผู้ฟังจะได้ประโยชน์มากกว่าหากผู้พูดมีความซื่อสัตย์และพูดความจริงเมื่อเปรียบเทียบกับการโกหกสีขาว ดังนั้นการพูดความจริงเป็นทางเลือกที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ฟังมากที่สุด เพราะจะทำให้ผู้ฟังได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับกับสถานการณ์จริง
การพูดโกหกสีขาวจะมีผลทางด้านจิตวิทยาให้ผู้ฟังรู้สึกดีก็ต่อเมื่อผู้ฟังไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากผู้ฟังมารู้ข้อเท็จจริงในตอนหลัง ผลเสียจะมีมากกว่ารู้ความจริงเสียอีก หากผู้พูดเลือกที่จะโกหกสีขาว ท่านต้องไม่บอกความจริงให้กับผู้ฟังไม่ว่ากรณีใดก็ตาม มิเช่นนั้นความพยายามพูดโกหกสีขาวจะไม่เกิดประโยชน์และอาจมีโทษมากกว่าพูดความจริงเสียอีก นอกจากนี้เมื่อท่านเลือกที่จะโกหก ท่านก็ควรที่จะเก็บความลับนี้ไว้ เพราะไม่เช่นนั้นท่านก็คงไม่ต่างอะไรกับ “เด็กเลี้ยงแกะ” ที่เด็กๆ คุ้นเคยกัน แม้แต่คำพูดของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยังเชื่อไม่ได้ ต่อไปนี้นักลงทุนก็คงไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว เพราะยังเข็ดขยาดกับคำว่า “เอาอยู่” ที่เกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็มีคำว่า “White Lies” เกิดขึ้นอีกในช่วงนี้ โดยทั้งสองคำนี้ล้วนแล้วแต่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อผู้นำระดับสูงของประเทศทั้งสิ้น
ส่วนอีกประเด็นนั้นเกี่ยวกับหลักการบริหาร ที่การตั้งเป้าหมายต้องมีลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งคือ จะต้องมีความเป็นไปได้ หรือ Achievable แต่ท่านตั้งเป้าหมายที่ตัวท่านเองก็คิดว่ายังไงก็ไปไม่ถึง จึงทำให้เกิดข้อกังขาในเชิงบริหารว่า ท่านมีความเหมาะสมที่จะนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีที่คุมบังเหียนเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ต่อไปหรือไม่? ก็เป็นคำถามที่นายใหญ่ (ตัวจริง) น่าจะขบคิดอยู่บ้างนะครับ m
เอกสารอ้างอิง
Kim, Kyungmin and Jonathan Pogach (2009), Honestry and Whilte Lies, Working Paper. www.ssrn.com.
Sanjiv Erat and Uri Gneezy (2009), White Lies, Working Paper. University of California at San Diago.


