พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ (1)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ กรมพระสมมตอมรพันธ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหุ่น (ท้าวทรงกันดาล) ประสูติเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2403 ในพระบรมมหาราชวัง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ กรมพระสมมตอมรพันธ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหุ่น (ท้าวทรงกันดาล) ประสูติเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2403 ในพระบรมมหาราชวัง
ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวังและโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับฟรานซิส ยอร์ช แพตเตอร์สัน หลังจากทรงผนวชตามโบราณราชประเพณีแล้ว ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการสนองพระคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2417 หลังวิกฤตการณ์วังหน้าพระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์หนึ่งที่ทรงเข้าร่วมจัดตั้งสมาคมสยามหนุ่ม หรือยังไซแอมโซไซตี้ (Young Siam Society) ร่วมกับเจ้านายและข้าราชการในขณะนั้นไม่น้อยกว่า 15 คน เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2417
สมาคมสยามหนุ่มเกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงพลังความสามัคคีให้ปรากฏ มีเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นนายกสมาคม สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงเป็นอุปนายก ด้วยการร่วมแรงแข็งขันของกรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ พระองค์เจ้าทองแถมถวัลย์วงศ์ และพระองค์สวัสดิประวัติ
เมื่อกลุ่มคนหนุ่มก้าวหน้าเหล่านี้ได้ทำการจัดตั้งสมาคมสยามหนุ่มขึ้น ก็ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ก็ได้ทรงตอบหนังสือของสมาคมสยามหนุ่มดังนี้
ร.ที่ ๒๐๘สมมุติเทวราชอุปบัต
วัน ๕ ฯ ๓ ค่ำ ๑๒๓๖
ถึงยังสมาคมโซไซเอตี
ด้วย ฯข้าฯ ได้รับหนังสือซึ่งบอกมาว่าได้พร้อมกันตั้งโซไซเอตีขึ้น เพื่อจะให้เป็นความสามัคคีพร้อมเพรียงกันนั้น ฯข้าฯ ได้ทราบก็มีความยินดีเปนที่สุด ด้วยการสามัคคีนี้ถ้าได้มีขึ้นแล้ว ก็อาจให้ราชการทั้งปวงสำเรจไปได้ เปนความเจริญในตัวผู้ที่พร้อมเพรียงแลในการทั้งปวงด้วย ถ้าการนี้ฉันควรจะช่วยอย่างไรและควรจะเข้าเปนหมู่ด้วยอย่างไร ฉันจะมีความยินดีเปนที่สุด ซึ่งจะได้ช่วยในการนี้ทุกอย่าง การจะมีอะไร จะทำอย่างไร ขอให้ทราบเถิด คงจะช่วยให้สำเร็จตามควร
จุฬาลงกรณ์
สมาคมสยามหนุ่ม หรือว่า “ยังสยาม” ล้วนแต่เป็นบรรดาคนหนุ่มหัวก้าวหน้า ที่อยากเห็นประเทศปรับปรุงเปลี่ยนไปสู่ความทันสมัยในขณะนั้น บรรดาคนหนุ่มเหล่านี้ได้พากันออกหนังสือพิมพ์ขึ้นมา 2 ฉบับ ที่ชื่อว่า ดรุโณวาท กับ Court ข่าวราชการ
หนังสือ Court หรือข่าวราชการออกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2418 โดยมีชื่อบุคคลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันแสดงความคิดเห็นทางหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเขียนแต่งกันในแต่ละวันดังนี้ คือ
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงแต่งในวันเสาร์
กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ ทรงแต่งในวันอาทิตย์
พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ ทรงแต่งในวันจันทร์
พระองค์เจ้าทองแถมถวัลย์วงศ์ ทรงแต่งในวันอังคาร
พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ ทรงแต่งในวันพุธ
พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ทรงแต่งในวันพฤหัสบดี
พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ ทรงแต่งในวันศุกร์
จึงเห็นได้ว่าหลังจากเกิดวิกฤตการณ์วังหน้าแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำเนินการปรับปรุง ปฏิรูป แก้ไขระเบียบการปกครองแผ่นดิน ที่เป็นธรรมเนียมเดิมต่างๆ นั้นอย่างระมัดระวังและรอบคอบขึ้นกว่าเก่า ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีก จนอาจจะเป็นเหตุให้ต่างชาติฉวยโอกาสเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในของสยามได้ การปฏิรูปการคลังก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่เกิดวิกฤตการณ์วังหน้าขึ้นแล้ว การดำเนินนโยบายต่างๆ ก็มีลักษณะที่ลดความรวดเร็วเด็ดขาดลงมาเป็นลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป วิกฤตการณ์วังหน้าครั้งนี้แม้ว่าจะมีผลดีในแง่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสามารถลดและจำกัดอำนาจทางด้านการทหารและในทางราชการบ้านเมืองของกรมพระราชวังบวรฯ ลงไปได้ แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ต้องทรงยอมรับฐานะของกรมหมื่นบวรวิไชยชาญด้วยว่าทรงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลของพระองค์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
และแม้ว่ากรณีพิพาทระหว่างวังหลวงกับวังหน้าจะยุติลงแล้ว แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงว้าเหว่พระราชหฤทัย ทรงพระวิตกต่ออนาคตข้างหน้า อันเป็นเหตุให้เกิดการแสดงพลังสามัคคีของบรรดาที่ประชุมวัดพระแก้วทั้งปวง และการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยราชประเพณีสยามกับการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกในกรุงรัตนโกสินทร์
ดังบันทึกของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ความว่า
“...ในสมัยนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ยังหามีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ที่จะสืบสันตติวงศ์โดยตรงต่อไปไม่ ครั้นอยู่มาสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา) ได้ประสูติพระโอรสทรงเจริญพระชันษาได้ประมาณ ๒๓ พรรษา ในระหว่างนั้นยังมีข้ออุปสรรคขัดขวางอีกหลายประการ อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในขณะนี้ ยังมีความว้าเหว่พระราชหฤทัยด้วยราชการในอนาคต...”
ความกังวลพระราชหฤทัยนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2418 ความว่า
“เขาพูดกันในพวกฝรั่งทั่วทั้งกรุงว่า วังหน้าได้ลูกสาวกงศุลอังกฤษคนที่สองเป็นเมีย เดิมกงศุลนี้ซัดเซมาแต่เมืองอินเดีย พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เอามาเลี้ยงไว้เป็นนายทหาร ประทานเมียให้คนหนึ่งเป็นลูกทวาย จึงมีลูกผู้หญิงซึ่งเป็นสาวแล้วสองคน คนใหญ่นั้นไปเรียนหนังสือเมืองฝรั่ง แต่คนเล็กนั้นอยู่ที่กรุงนี้เป็นฝรั่งครึ่งหนึ่ง รูปพรรณสัณฐานเป็นไทยมาก ก็มารดาเขาเป็นคนวังหน้ามาแต่เดิม จึงสนิทสนมกับวังหน้าเดี๋ยวนี้ (กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ) มากมาแต่ยังไม่เกิดความ ครั้งเมื่อวังหน้าลงไปอยู่บ้านเขา (ระหว่างวิกฤตการณ์วังหน้า) ก็เรียกเมียกงศุลนี้เป็นแม่ นับถือกันมากขึ้น ลูกสาวสองคนนี้คนต่างประเทศไม่มีใครนับถือเลย ไม่มีใครจะเอาเป็นภรรยาเลยเป็นแน่ จึงผูกพันกับที่วังหน้า ไปมานอนค้างอยู่ในวังจนคนว่ากงศุลถวายวังหน้าก็มีมาแต่ก่อน แต่พูดกันแต่ไทยๆ ฝรั่งไม่พูด มาครั้งนี้เขาว่าไปกาญจนบุรีออกนอกหน้ามาก ไปตามเสด็จวังหน้าที่ไหนก็นั่งเคียงกัน และในบางกอกก็มีเถ้าแก่รับส่งเป็นเวลาขึ้นไปนอนในวัง แต่คำที่ฝรั่งพูดกันนั้นเป็นการเยาะเย้ยกันมาก ด้วยเขาไม่นับถือในตัวผู้หญิงแล้วก็ผิดธรรมเนียมในศาสนาเขามาก จะเล่าความติเตียนที่เขาถวายมาก็จะยืดยาวนัก แต่เขาว่าบิดานั้นก็ทราบที่จะเต็มใจให้ด้วย เขาได้มาพบกันสมเด็จเจ้าพระยาฯ มีผู้ที่ควรจะเชื่อได้ทราบความมาว่า เขากะสมเด็จเจ้าพระยาฯ เป็นแน่ว่าหม่อมฉันคงจะตายในเร็วๆ นี้เป็นแน่ด้วยผอมนัก วังหน้าคงจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ถ้าวังหน้าเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วเหมือนกับลูกเขา เขาสงสาร จะต้องอุปถัมภ์ช่วยว่าการงานทุกอย่าง ลูกเขานั้นคนใหญ่ที่ไปเรียนหนังสือเมืองนอกคนเดียวเขาจะให้เป็นฝรั่ง แต่ลูกนอกนั้นตามแต่ภรรยาเขา จะให้มีผัวไทยก็ตามสมเด็จเจ้าพระยาฯ พลอยเห็นจริงด้วย ได้บอกมอบฝากบ้านเมือง ถ้าท่านสิ้นแล้ววังหน้าจะเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้เขาช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองและฝากบุตรหลานของท่านด้วยเถิด การเป็นดังนี้สมกับคำที่สมเด็จพระยาฯ พูดอยู่เสมอว่า หม่อมฉันคงตายในปีนี้ๆ หลายปีมาแล้วว่าวังหน้าคงจะได้มาเป็นเจ้า คำนี้ท่านพูดอยู่ดังๆ กับบุตรหลานนั้นก็ให้ไปมาฝากตัวอยู่ที่กงศุลอังกฤษจริง เป็นการสมกับคำที่พูดแต่คำที่ฝ่ายภรรยามิสเตอร์น๊อกซ์ กงศุลพูดนั้นว่า ถ้าวังหน้าเป็นเจ้าแล้ว ลูกสาวจะเป็นสมเด็จพระนาง ผัวจะเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ถ้ามีหลานจะให้เป็นเจ้าแผ่นต่อไปด้วย...”


