ได้ดีเพราะ "ทวี สอดส่อง"
ใครก็ต่างครหาว่า พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) คนนี้ “แดงจ๋า”
ใครก็ต่างครหาว่า พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) คนนี้ “แดงจ๋า”
เขาไม่ปฏิเสธ เพียงแต่อธิบายว่า
“ผมเข้าพื้นที่การชุมนุมของคนเสื้อแดงจริง ใครจะมองเป็นแดงจ๋าก็แล้วแต่ เพราะผมไปหาข่าว ซึ่งในสมัยเสื้อเหลืองก็เข้าไปเหมือนกัน หน้าที่ของผมขณะนี้คือให้เข้าไปสังเกตการณ์ ขอเน้นว่า เมื่อก่อนคนก็เคยมองคณะนิติราษฎร์เป็นเสื้อแดง แต่คนพวกนี้เรียกร้องความถูกต้องทั้งนั้น ซึ่งผมก็มั่นใจว่าในชีวิตรับราชการมา เรื่องความยุติธรรมคือสิ่งที่ผมยึดถือมากที่สุด การจะไปเขียนสำนวนคดีให้สวยงามขึ้นมาเองนั้น ทำไม่ได้ เพราะเมื่อถึงเวลาศาลถามว่าได้หลักฐานมาจากไหน เราก็ตอบเขาไม่ได้”
พ.ต.อ.ประเวศน์ ใช้ประสบการณ์ความผิดพลาดในอดีตเป็นเครื่องเตือนใจ โดยเล่าว่า ชีวิตการเป็นตำรวจที่ผ่านมาได้นั้น ต้องศึกษาความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต
“อย่างคดีเชอร์รี่แอน ที่เป็นเรื่องสร้างความอับอายต่อผู้รักษากฎหมาย ผมถือว่าจะต้องไม่ปล่อยให้มีการจับผิดตัวเด็ดขาด ถ้าคดีที่รับผิดชอบอยู่ในมือของคนชื่อประเวศน์ และแม้ว่าทุกวันนี้จะยอมรับว่ายังมีให้เห็นอยู่บ้างที่พบว่ามีการจับคนบริสุทธิ์ไปขังคุก”
ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ประเวศน์ ยังเคยลงไปทำงานสืบสวนสอบสวนเก็บพยานหลักฐานที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนสามารถวางผังตารางผู้ก่อการร้าย บีอาร์เอ็น นำสำนวนส่งอัยการให้ศาลลงโทษประหารชีวิตเป็นผลสำเร็จ
“ผมเป็นคนแรกที่ทำคดีก่อการร้ายในรูปของกระบวนการเป็นคนแรกและคนเดียว ที่ถนัดเรื่องไขคดีก่อการร้าย”
ส่วนตัวเขาเชื่อว่า สังคมใดถ้าอยู่ในกฎกติกาแล้วคนเชื่อกติกา สังคมนั้นย่อมสงบสุขแน่นอน
“แต่ที่ทุกวันนี้ไม่สงบ เพราะคนไม่เชื่อถือผู้ใช้กติกา ทุกวันนี้คนไม่เชื่อศาล บั่นทอนความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ปัญหาก็จะเกิด เพราะต่างคนต่างอ้างว่าตัวเองทำถูกต้อง แล้วไม่มีใครตัดสินมันจะอยู่อย่างไร ผมเชื่อเช่นนั้น เพราะทำงานด้านนี้มาตลอด ไม่เคยกลัวตาย ถ้ามัวแต่กลัวว่าคนที่เราเคยจับเขาขังคุกจะโกรธแค้น แล้วออกมายิงเราก็ไม่ต้องมาเป็นตำรวจ เพราะเราไม่เคยจับผิดตัว คนเรารู้อยู่ในใจว่าทำอะไร จะรับหรือไม่รับเท่านั้นเอง”
เฉกเช่นเดียวกับอาชีพตำรวจ ที่ถือว่ายศระดับพันตำรวจเอกของเขาไม่ธรรมดา
ย้อนดูประวัติก่อนที่ พ.ต.อ.ประเวศน์ จะมาเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ เส้นทางวงการสีกากีฉูดฉาดไม่น้อย จบนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 37 (นรต.37) รุ่นเดียวกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อดีตผู้บังคับการกองปราบปรามและอดีตอธิบดีดีเอสไอที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย. 2551ถึงวันที่ 29 ก.ย. 2552
ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งอธิดีดีเอสไอไม่นานนัก พ.ต.อ.ทวี ได้ดึง พ.ต.อ.ประเวศน์ เพื่อนร่วมรุ่นจาก สภ.ปากเกร็ด มาทำงานที่ดีเอสไอ
หากมองเส้นทางการเติบโตของ พ.ต.อ.ทวี ก็จะเห็นเส้นทางการเติบโตของ พ.ต.อ.ประเวศน์
เพราะ พ.ต.อ.ทวี ได้ดีเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พอถูกปฏิวัติยึดอำนาจ พ.ต.อ.ทวี ถูกย้ายไปเป็นรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส.จนกระทั่งเมื่อ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” พี่ชายของ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ มาเป็น รมว.ยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี จึงได้ถูกโยกย้ายกลับมารักษาการอธิบดีดีเอสไออีกครั้ง
เมื่อ พ.ต.อ.ทวี ได้กลับมา จึงดึง พ.ต.อ.ประเวศน์ มือขวาคู่ใจกลับมาด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เมื่อ พ.ต.อ.ทวี ถูกเด้งไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วโยก ธาริต เพ็งดิษฐ์ จากเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) มาเป็นอธิบดีดีเอสไอ
แรกๆ ข่าวลือจึงกระหึ่มว่า พ.ต.อ.ประเวศน์ ทำงานไม่เข้าตา ธาริต ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
จวบจนกระทั่งเปลี่ยนขั้วอำนาจ พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลครั้งนี้ พ.ต.อ.ประเวศน์ ได้รับการสนับสนุนจาก “อินทรีอีสาน” พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่ครองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ทำงานสำคัญๆ หลายคดี โดยเฉพาะการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเมื่อปี 2553
พ.ต.อ.ประเวศน์ ยังมีความสนิทสนมกับ “บิ๊กจุ๋ม” พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นรต.26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
เส้นทางการทำงานของ พ.ต.อ.ประเวศน์ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความสัมพันธ์โยงใยเกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ภายใต้การบริหารควบคุมทางการเมืองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ


