ในซอกหลืบ สารานุกรมแห่งหัวใจ
เสียงพลิกหน้ากระดาษทำลายอำนาจความอึมครึมที่ห่อหุ้มทั่วห้องขนาดกะทัดรัดที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือ
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
เสียงพลิกหน้ากระดาษทำลายอำนาจความอึมครึมที่ห่อหุ้มทั่วห้องขนาดกะทัดรัดที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือ ราวกับผนังห้องปูทับด้วยวอลเปเปอร์พิมพ์ลายสันปกสารานุกรมราคาแพงระยับ แต่ไร้ประโยชน์ในยุคของวิกิพีเดีย พื้นห้องคล้ายปูลาดด้วยกระเบื้องลายปกคัมภีร์ของศาสนาที่ตายแล้ว ส่วนธรณีประตูทำจากกองหนังสือพิมพ์ที่อ่านไม่เคยจบในวันเดียว มีเพียงเพดานเท่านั้นที่เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแมงมุมประดับประดาความว่างเปล่าด้วยใยสีหม่น
ไม่มีเสียงบ่นของแมลง หรือเสียงพึมพำของนักอ่าน ธรรมชาติเพียงอย่างเดียวในห้องที่จะเป็นและพึ่งพาได้คือแสงสลัวจากหน้าบานเกล็ดที่แย้มเพียงเล็กน้อย ราวกับเจ้าของห้องไม่ต้องการให้โลกภายนอกรับรู้ความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อระหว่างเขากับกองทัพหนังสือมากเกินไป
แต่หนังสือบางเล่มนำพาหัวใจไปสู่สัมพันธ์อันเร้นลับของคนคู่หนึ่ง (ไม่! มิใช่สัมพันธ์กับพระเจ้าที่เขาชิงชังดอก)
ไม่นานมานี้เอนไซโคลพีเดีย บริตานิกา ประกาศยุติการตีพิมพ์ปิดตำนานหนังสืออ้างอิงที่มีอายุเฉียด 400 ปี เพื่อหลีกทางให้กับโลกยุคดิจิตอล
แต่บัดนี้ เบื้องหน้าของชายหนุ่มยังมีสารานุกรมเล่มเขื่อง หน้าที่เปิดไว้คือชื่อของผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อเดียวกับคู่ชีวิตของอับราฮัม
ชื่อของผู้หญิงคนนั้นอาจไม่เป็นอมตะเทียมบุคคลในคัมภีร์ แต่ยากที่จะลืมเลือนยิ่ง
ทั้งคู่พบกันที่ร้านสุราอันทรุดโทรม (แน่ล่ะ! อาจพยายามคลุกคลีกันบนเตียงของใครคนหนึ่งด้วย!) แต่รู้จักลึกซึ้งถึงหัวใจด้วยหนังสือเล่มหนึ่ง
ไม่รู้มันเริ่มขึ้นตอนไหน แต่ชายหนุ่มไม่อาจวางหนังสือเล่มนั้นลงได้ สารานุกรมฉบับจิ๋วเล่มเปื่อยๆ ราวกับผ่านการเดินทางมาเจ็ดคาบสมุทร เธอยัดใส่มือให้ตอนที่กำลังเมาแปร๋คืนนั้น
เธอคนนี้ไม่ใช่นักอ่าน ไม่สนใจว่าเจมส์ จอยซ์ จะระยำกับนักอ่านเพียงใด หรือวิลเลียม ฟอล์กเนอร์ จะซ่อนโทสะในตัวอักษรไว้เพียงใด ย่อมน่าสงสัยว่าทำไมจึงต้องพกหนังสืออ้างอิงไว้กับตัวตลอดเวลา
คำตอบคงไม่ซับซ้อนเท่ากับคำตอบของ แซมมวล แจ็กสัน (นักเขียน) ผู้ยืนยันว่า หากจะต้องติดเกาะแล้วไซร้ หนังสือเล่มเดียวที่จะพกติดตัวไปแก้เหงาคือพจนานุกรม
เธอเป็นนักอ่านหัวใจและสายตาของผู้คน ทุกคนที่พานพบแม้นจะเจอหน้ากันเพียงครั้งแรกหรือครั้งคราว การอ่านใจเพื่อทักทายและปลอบประโลมไม่ใช่สิ่งที่ต้องแบกรับไว้ แต่เจ้าหล่อนยังทำราวกับเป็นหน้าที่จากสรวงสวรรค์ เป็นความสนุกไร้ขีดจำกัด ในโลกที่มีผู้คนเกือบ 7,000 ล้านชีวิต
ความสัมพันธ์กับนักอ่านคนตัวฉกาจ สำหรับเขาแล้วตื่นใจเหมือนกำลังฟังนิยายด้นสดไร้จุดเริ่มและจุดจบ แม้ว่าบางคราวจะสับสนเอาง่ายๆ ว่ามันคือวรรณกรรมชิ้นเอกหรือเรื่องซุบซิบไร้สาระกันแน่
เรื่องราวของผู้คนจากมุมมองของเจ้าหล่อนผิดอะไรกับสารานุกรมชุดใหม่ที่พิสดารพันลึกกว่าเอนไซโคลพีเดีย บริตานิกา หรืออองซีโกลเปดีลารูซ หรือแม้แต่วิกิพีเดีย
การสนทนาทุกคราราวกับกุญแจไขประตูสู่ห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย เหมือนใบเบิกทางสู่หอพระสมุดวชิรญาณ เหมือนโลกทั้งโลกซุกตัวเองในชั้นหนังสือมหึมาที่เรียกว่า จินตนาการ
ทั้งคู่ผลาญเวลาด้วยบทสนทนาที่ไร้จุดจบ และหารู้ไม่ว่า วรรณกรรมและบทความชิ้นเอกนับไม่ถ้วนถูกสร้างขึ้นจากพล็อตเรื่องของหญิงสาวนักอ่านคน และชายหนุ่มนักท่องโลกอักษร แม้นไม่มีผู้จดจาร มันจึงได้แต่ล่องลอยในสารา นุกรมล่องหนที่เรียกว่าห้วงอากาศรอบกาย
ในห้วงความพันผูก สารานุกรมเปลี่ยนหัวข้อตัวเองให้พบแต่เรื่องราวแห่งความสุข ชีวประวัติปราศจากช่วงเวลาอันยากลำบากในชีวิต หัวข้อว่าด้วยความตายยังเน้นถึงมโนทัศน์ความสุขในความตาย โรคภัยและความป่วยไข้เหลือเพียงนิยามบรรทัดเดียว
แต่โลกนี้ไหนเลยจะมีแต่สุขนาฏกรรม? หากปรากฏองค์หรรษาของอริสโตฟาเนส ก็ย่อมปรากฏบทโศกของอีสคีลุส ในโรงละครเดียวกัน
พบกันเมื่อยามดอกคูนสะพรั่ง กลีบสีเหลืองบางปลิวระบัด และผลัดจากต้น โบยบินมาเต้นระบำพร้อมกับสายลม คล้ายกับเมืองทั้งเมืองระยิบระยับด้วยเปลวทองคำและสั่งลาเมื่อปลายฝนหล่นตัวลงมาพร้อมลมหนาวเหน็บ
เช่นเดียวกับผู้สิ้นหวังและผิดหวังอีกนับไม่ถ้วน เธอจากไปไม่กี่วันหลังจากฉากละครของประเทศนี่เปลี่ยนองค์กะทันหัน กลายเป็นโศกนาฏกรรมสยาม สวมบทเล่นกันจริงๆ จังๆ จนเลือดหลั่งรินและน้ำตาเนืองนอง
ดอกคูนของทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีเพลิงของทองกวาวในชั่วข้ามคืน
กี่ปีแล้วในนรกของความขัดแย้ง และภพภูมิแห่งการพลัดพราก เวลาคืบคลานอย่างเกียจคร้าน การประทุษร้ายที่เจ็บปวดที่สุดจากเวลาคือการทำให้ความทรงจำของเราเลือนราง
ข้อความจากหนังสือลืมแล้ว ยังหยิบหามาอ่านได้ แต่ความทรงจำถึงบางคนเล่า จะยืนยงสักเพียงไร? บางคนอาจรำพึงอย่างทดท้อเพียงนั้น
หน้าต่อหน้า เล่มต่อเล่ม จากหัวข้อว่าด้วยขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ จากบทที่ว่าด้วยโตเกียวจนถึงลอสแองเจลิส สิ่งที่พบเพียงแค่ลมหายใจที่หอบแทบสิ้นใจ และความหวังที่หวิดจะล่มสลาย หน้ากระดาษที่รุ่งริ่ง และปกหนังสือแห้งกรอบหลุดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สารานุกรมเป็นเพียงการเดินบนเส้นทางที่ทุรกันดาร ซึ่งไม่รับประกันว่ามีจุดหมายที่ฝันใฝ่จะพบรอเราอยู่เบื้องหน้า
มนุษย์ผู้แสวงหาความเด็ดเดี่ยวช่างผันแปรต่อความเปราะบางได้อย่างน่าหัวร่อยิ่ง และไม่สิทธิต่อว่า เวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่แปรเปลี่ยน
ในค่ำคืนแห่งความสิ้นหวังและเปล่าเปลี่ยว มนุษย์มักค้นพบว่า ยังมีบางอย่างเหลือที่มุมหนึ่งของหยักสมองของความทรงจำ เช่นเดียวกับแพนโดราพบความหวัง ณ ซอกมุมกล่องแห่งความฉิบหาย
ในห้อมล้อมของหนังสือนับพันเล่มที่ไร้ความหมายในบัดนี้ เขายังมีสารานุกรมอยู่เล่มหนึ่ง เล่มเดียวนั้นเก็บรักษาทุกกายวิภาคและจินตภาพที่ใฝ่หา
ยามลืมเลือนซึ่งใบหน้า เขาจะเปิดหัวข้อประติมากรรมยุคเรอเนสซองส์ เพื่อที่จะจดจำว่า หญิงสาวช่างคลับคล้ายรูปสลักสตรีอิตาเลียนเมื่อ 5 ศตวรรษก่อน ดวงตาเล็กเรียว เส้นคิ้วเรียบยาวและบางเบา ใบหน้ากลมกลึง และแย้มยิ้มพอประมาณคล้ายดอกไม้ที่ไม่กล้าผลิกลีบ
ยามนกลืมขับขาน ดอกไม้ลืมร่ายรำ จะเปิดบทวรรณกรรมอังกฤษร่วมสมัย อ่านบทกวีของ เท็ด ฮิวก์ คนที่หล่อนโปรดปราน
หากเป้าหมายในชีวิตอ่อนล้า จะเปิดอ่านบทพิเศษว่าด้วยจินตนาการ แล้วหวนนึกถึงความฝันสู่การเดินยังสุดปลายโลกถึงติเอรา เดล ฟวยโก ของเธอ และสุดปลายฟ้าที่เกาะตริสตัน ดา กุนยา ของเขา
เธอนั่นเองที่เป็นสารานุกรมเล่มเดียวที่เขาใฝ่หา เลือดเนื้อทุกหยด เซลล์ทุกเซลล์ เส้นผมหรือขนทุกเส้น คือส่วนประกอบของจักรวาลแห่งความรู้ที่ไม่มีวันเรียนรู้ได้จบสิ้น เพียงมอบความปรารถนาดีและห่วงหาให้เท่านั้นทุกความรู้ของเธอจะผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา
เธอกลายเป็นสารานุกรม และเขาต้องเสาะหา เพื่ออ่านให้เข้าใจถ่องแท้ เธอจะหวนกลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้หรือไม่นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า เขาอ่านเธอแล้วและจะอ่านต่อไป
เหมือนกับเธอกำลังตามอ่านคนทั้งโลกบนถนนที่เขียนขึ้นด้วยสองมือของตัวเอง


