สายลมกับแสงแดด
ผมดีใจที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานทดแทน โดยกระทรวงพลังงานได้ปรับแผนพลังงานทดแทน 15 ปี (พ.ศ. 2551-2565) ลงเหลือ 10 ปี คือ จาก พ.ศ. 2555-2564 และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในปีสุดท้ายของแผนจาก 20% เป็น 25% ของการใช้พลังงานทั้งหมด
ผมดีใจที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานทดแทน โดยกระทรวงพลังงานได้ปรับแผนพลังงานทดแทน 15 ปี (พ.ศ. 2551-2565) ลงเหลือ 10 ปี คือ จาก พ.ศ. 2555-2564 และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในปีสุดท้ายของแผนจาก 20% เป็น 25% ของการใช้พลังงานทั้งหมด
หากทำสำเร็จ เราจะประหยัดเงินในการนำเข้าพลังงานปีละกว่า 5 แสนล้านบาท เพราะปัจจุบันเราก็นำเข้าน้ำมันปีละประมาณ 1 ล้านล้านบาทอยู่แล้ว
ที่ผมอยากพูดถึงเป็นพิเศษในวันนี้ คือ พลังงานแสงอาทิตย์กับพลังงานลม ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นของได้เปล่า ไม่ต้องเสียเงินทองซื้อหาแต่ประการใด
ในทางภูมิศาสตร์ ประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ได้รับแดดเกือบเต็มที่ตลอดทั้งปี ทำให้ได้เปรียบประเทศส่วนใหญ่ในเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับพลังงานลม การที่ประเทศเราอยู่ในเขตร้อน ประกอบกับมีชายทะเลยาวเหยียด ทำให้เรามีบริเวณที่มีลมแรงอยู่ไม่น้อย ซึ่งประเด็นนี้อาจต่างจากความเข้าใจเดิมของคนที่เคยศึกษาเรื่องพลังงานลมว่าลมของเราเร็วและแรงไม่พอ
นอกจากนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับต้นทุนในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากสายลมและแสงแดด ซึ่งยิ่งนับวันยิ่งต่ำลงเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จนเกือบพูดได้เต็มปากว่า เทคโนโลยีล่าสุดทำให้ต้นทุนใกล้เคียงกับน้ำมันแล้ว
ในกรณีของไทย แม้เราจะยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตอุปกรณ์ของเราเอง แต่การที่ต้องนำเข้าน้ำมันเป็นจำนวนมาก ทำให้เราเริ่มสนใจพลังงานทดแทนมานานแล้ว และรัฐบาลในอดีตได้เริ่มส่งเสริมด้วยมาตรการให้ส่วนเพิ่มรับซื้อไฟฟ้า หรือแอดเดอร์ (Adder) โดยในปี 2549 ได้ประกาศให้แอดเดอร์ 8 บาทต่อหน่วยสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ และ 2.50 บาทต่อหน่วยสำหรับพลังงานลม เป็นเวลา 7 ปีนับจากวันเริ่มผลิต
ในช่วงแรกความสนใจของผู้ลงทุนมีไม่มากนัก ปีต่อมารัฐบาลจึงขยายเวลาให้แอดเดอร์จาก 7 ปี เป็น 10 ปี และเพิ่มแอดเดอร์สำหรับพลังงานลมเป็น 3.50 บาทต่อหน่วย
อาจกล่าวได้ว่าความตื่นตัวในเรื่องโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในปัจจุบันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการที่ประกาศในครั้งนั้น โดยค่าแอดเดอร์ที่สูงเป็นพิเศษสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้มีเอกชนไปยื่นคำขอใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เป็นจำนวนมาก เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้หลายเท่า
ในปี 2553 รัฐประกาศลดค่าแอดเดอร์สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์จากหน่วยละ 8 บาท เหลือ 6.50 บาท และประกาศหยุดรับใบสมัครใหม่ โดยจะพิจารณาเฉพาะใบสมัครเดิมที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น
โรงไฟฟ้ากลุ่มที่สร้างเสร็จแล้ว หรือยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างในปัจจุบัน ล้วนอยู่ในกลุ่มที่ได้แอดเดอร์ 8 บาท แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้ได้ใบอนุญาตแล้วอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ลงทุนสร้าง โดยบางรายนำใบอนุญาตไปเร่ขาย ซึ่งก็มีเสียงร่ำลือกันว่าราคาซื้อขายในปัจจุบันเมกะวัตต์ละหลายล้านบาท ส่วนอีกบางรายมีความพร้อมด้านเงินทุน แต่จงใจชะลอเวลาออกไปเพื่อรอให้ราคาแผงรับแสงอาทิตย์ถูกลงอีกเสียก่อน
การให้แอดเดอร์สูงๆ กลายเป็นดาบสองคม ด้านหนึ่งทำให้เกิดการตื่นตัว อีกด้านหนึ่งก็มีเงื่อนงำและทำให้เกิดจุดอ่อนหลายประการ ดังนี้
หนึ่ง รัฐผลักภาระค่าแอดเดอร์ที่สูงมากไปให้ผู้บริโภคผ่านระบบเอฟที ทำให้ส่งเสริมได้จำกัด มิฉะนั้นค่าไฟจะสูงขึ้นมาก
สอง การพิจารณาให้ใบอนุญาตเฉพาะบางโครงการ ทำให้เกิดความล่าช้าและความไม่โปร่งใส มีคนยืนยันว่าผู้ที่ได้ใบอนุญาตจำนวนมากไม่ใช่นักลงทุน แต่เป็นนักวิ่งเต้นและนักแสวงหาผลประโยชน์จากเส้นสายการเมือง เพื่อให้ได้ใบอนุญาตมาขายต่อ
สาม ใบอนุญาตมีอายุยาวนาน ผู้ถือใบอนุญาตสามารถอยู่เฉยๆ เป็นเวลาหลายปี โดยยังไม่มีพันธะต้องเริ่มผลิตและขายกระแสไฟฟ้าให้รัฐ ทำให้ถึงวันนี้ยังมีใบอนุญาตที่ได้มาหลายปีแล้วโดยไม่มีการลงทุน ซึ่งเป็นการเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
สี่ อาจเป็นเพราะผู้ลงทุนจริงต้องซื้อใบอนุญาตมาในราคาแพง ทำให้ต้นทุนของโครงการเท่าที่มีการเปิดเผยออกมาค่อนข้างสูง เช่น ในระดับเมกะวัตต์ละประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีล่าสุดในต่างประเทศได้ทำให้ราคาอุปกรณ์ลดลงต่ำกว่าเมกะวัตต์ละ 25 ล้านบาทแล้ว
ข้อสุดท้าย เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสนั่งจับเข่าคุยกับผู้จัดการโครงการรายหนึ่ง ซึ่งเล่าให้ฟังถึงความสำเร็จของโครงการ โดยปัจจุบันโครงการนี้ได้เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าขายแล้ว และผลผลิตที่ได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้หลายเปอร์เซ็นต์
ผมเกิดความประทับใจ และแนะนำไปว่าอย่าเพิ่งหยุด ควรใช้ประสบการณ์ที่ได้จากโครงการแรกทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติไปเรื่อยๆ ด้วยการทำโครงการต่อๆ ไป
คำตอบที่ได้รับ คือ หาใบอนุญาตสำหรับโครงการต่อไปไม่ได้ เพราะราคาที่ซื้อขายกันแพงขึ้นมาก ในขณะที่ใบอนุญาตใหม่ๆ ก็ยังไม่มีออกมา
ฟังแล้วรู้สึกเสียดายแทนประเทศไทย นโยบายบางครั้งฟังดูดี แต่ระบบราชการและระบบการเมืองที่ฉ้อฉลทำให้วิธีปฏิบัติมีปัญหา และในที่สุดเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ
ผมอยากแนะนำรัฐบาลปัจจุบันให้ปรับปรุงเงื่อนไขการให้การสนับสนุนพลังงานทดแทนดังนี้
ประการแรก ทำให้กระบวนการออกใบอนุญาตง่ายลง เช่น อาจเปิดกว้างให้ใครลงทุนก็ได้
ประการที่สอง กำหนดค่าแอดเดอร์พลังงานแสงอาทิตย์ให้ใกล้เคียงกับพลังงานลม เพราะในระยะแรกยังไม่มีเหตุผลว่าจะต้องสนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่งมากเป็นพิเศษ ควรปล่อยให้ผลตอบแทนการลงทุนและผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นตัวตัดสิน
ประการที่สาม กำหนดกรอบเวลาให้ต้องเริ่มลงทุนและเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าให้สั้นลง
ประการสุดท้าย อาจส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตอุปกรณ์ในประเทศไปพร้อมกัน โดยการให้แอดเดอร์สูงกว่าสำหรับโครงการที่ไม่ต้องนำเข้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์จากต่างประเทศ


