posttoday

หนุ่มใหญ่ร้องถูกอ้างชื่อ โยงคดียาบ้า

10 สิงหาคม 2555

หนุ่มใหญ่ร้องสื่อ ถูกนำชื่อ ภาพถ่ายเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ กล่าวหาเอี่ยวค้ายา ยันไม่เกี่ยวข้อง

หนุ่มใหญ่ร้องสื่อ ถูกนำชื่อ ภาพถ่ายเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ กล่าวหาเอี่ยวค้ายา ยันไม่เกี่ยวข้อง

 

หนุ่มใหญ่ร้องถูกอ้างชื่อ โยงคดียาบ้า

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 เจ้าหน้าที่ตำรวจบช.ปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) นำกำลังไล่ล่าแก๊งค้ายาเสพติด มาจนมุมที่บริเวณหน้าฐานทัพอากาศดอนเมือง ถนนวิภาวดีรังสิต ก่อนจะวิสามัญคนร้าย 1 คน เสียชีวิตภายในรถ คือนายพล ชัยยะพันโท สัญชาติลาว และตรวจค้นยาบ้าได้กว่า 3 แสนเม็ด ส่วนคนร้ายอีก 2 คน ที่มาด้วยกัน อาศัยช่วงชุลมุน กระโดดหนีเข้าไปในพงหญ้ากว้าง ก่อนจะยอมมอบตัวในที่สุด ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

 ล่าสุดเวลา 14.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) นายประสงค์ สุทธิชนโสภากุล อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 130 ซอยทวีวัฒนา 19/1 ถนนทวีวัฒนา แขวงและเขตทวีวัฒนา กทม. ได้เดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับผู้สื่อข่าวประจำบช.น. ว่า ถูกสื่อมวลชนนำชื่อและภาพถ่ายไปเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์  ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีค้ายาเสพติด ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และถูกสังคมกล่าวหาว่าเป็นคนไม่ดี เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยก่อนหน้านี้เมื่อต้นปี 2554 ได้ทำบัตรประชาชนหายไป คาดว่ากลุ่มคนร้ายคงจะเก็บได้แล้วเอาไปใช้ในกระทำความผิด พร้อมทั้งนำหลักฐานเป็นภาพบัตรประชาชนตัวจริงมาแสดงแก่สื่อมวลชนด้วย

 
นายประสงค์ เปิดเผยว่า ตนมีอาชีพเป็นพนักงานของบริษัทดิจิตอลคอม จำกัด ย่านเพลินจิต ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย การติดตั้งกล้องวงจรปิด เมื่อวันที่ 8 ส.ค. เพื่อนของตนได้โทรศัพท์มาหาพร้อมกับสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่าหลบหนีคดียาเสพติดอยู่ ตนจึงตอบไปว่าไม่ได้หลบหนี ยังใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและทำงานตามปกติ และไม่ได้ค้ายาเสพติดด้วย ซึ่งเพื่อนได้บอกว่าโทรทัศน์หลายช่องลงภาพใบหน้าและมีการเอ่ยชื่อของตน ส่วนหนังสือพิมพ์ก็ลงชื่อของตนว่าอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด แต่หลบหนีอยู่ ตนจึงเปิดอินเทอร์เน็ตและหาข่าวจากหนังสือพิมพ์ รวบรวมหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความที่สน.ตลิ่งชัน เพื่อแสดงตัวก่อน เนื่องจากใกล้บ้าน อีกทั้งกลัวว่าจะถูกวิสามัญฆาตกรรม

 นายประสงค์ กล่าวอีกว่า ทางตำรวจสน.ตลิ่งชันได้แนะนำให้ตนเดินทางไปแสดงตัวและหลักฐานที่บช.ปส. ตนจึงเดินทางไปพบกับ พ.ต.ท.พงศกร อนันตยศกรกิจ พงส.(สบ3) กลุ่มงานสอบสวนและตรวจสอบทรัพย์สิน บก.ปส.3 เพื่อชี้แจงว่าก่อนหน้านี้ตนได้ทำบัตรประชาชนหายไป และทำบัตรใหม่แล้วเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2554 อาจจะถูกนำบัตรไปใช้แอบอ้าง จากนั้นพ.ต.ท.พงศกร ได้ให้ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวมาชี้ตัวว่าตนอยู่ในขบวนการด้วยหรือไม่ ซึ่งผู้ต้องหาก็บอกว่าไม่ใช่ อีกทั้งตำรวจก็ไม่ได้จับกุมตน เพราะรู้ว่าไม่เกี่ยวข้อง ในวันเกิดเหตุตำรวจพบบัตรประชาชนของตนอยู่ในรถของผู้ต้องหา ทางตำรวจจึงไปนำข้อมูลของตนจากทะเบียนราษฎร์ออกมาเพื่อเตรียมขยายผล โดยที่ไม่ได้แจกจ่ายให้กับผู้สื่อข่าวเพราะยังไม่แน่ใจว่าตนจะมีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ แต่ปรากฏว่าผู้สื่อข่าวแอบมาถ่ายภาพดังกล่าวไปกันเอง และเอาไปนำเสนอ ตำรวจจึงบอกให้ตนไปร้องเรียนกับสื่อมวลชน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ตนถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี ลูกชายก็ไปโรงเรียนไม่ได้ ทั้งนี้ไม่ได้คิดที่จะฟ้องร้องแต่อย่างใด แต่อยากขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนให้ช่วยแก้ข่าวให้ด้วย