สงครามไพร่ : กระปฏิวัติ 2475 ที่ยังไม่สิ้นสุด
....ไชยันต์ ไชยพร
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่ม นปช. ที่ตั้งชื่อว่าเป็นการทำ
“สงครามไพร่” ได้สร้างความฉงนสงสัยให้แก่คนจำนวนไม่น้อยว่า อะไรคือสงครามไพร่? และใครบ้างที่ยังเป็นไพร่? ใน 2553 อันเป็นเวลา 78 ปี หลังที่เราได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปเมื่อ 2475ถ้าจะย้อนมองดูว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตการเมืองไทยครั้งล่าสุดเมื่อ 2549 หลังจากรัฐประหาร 19 ก.ย. ในปีเดียวกันนั้น ต่อมาในปี 2550 ได้มีหนังสือรวมบทความของ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยใช้ชื่อหนังสือว่า
“การเมืองของไพร่ : จากวิกฤตของระบอบทักษิณสู่การก่อรูปของระบอบการเมืองไทยหลังรัฐประหาร 2549”โดย พิชญ์ ได้เคยอภิปรายร่วมกับผู้เขียนถึงสาระเนื้อหาของหนังสือเล่มดังกล่าว โดยชี้ให้เห็นว่า การทำรัฐประหารนั้นได้แปรสภาพสถานะของความเป็นพลเมืองของตัวเขา และคนไทยอีกหลายๆ คนให้เป็นเพียงไพร่ที่ต้องยอมรับอำนาจทางการเมืองการปกครองของกลุ่มบุคคลที่พวกเขาไม่ได้ยอมรับ และไม่มีสิทธิที่จะรับหรือปฏิเสธแต่อย่างไร
สถานะของความเป็นไพร่ตามวิกิพีเดีย กล่าวไว้ว่า
“ไพร่” ในสังคมไทยสมัยโบราณหมายถึง สามัญชนหรือชนชั้นกลางทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในฐานะทาส ซึ่งมีสังกัดโดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าขุนมูลนาย มีสองประเภทคือ ไพร่หลวง และไพร่สม ไพร่หลวง คือไพร่ที่สังกัดกรมกองต่างๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง ประเภทที่ต้องถูกเกณฑ์มาทำงานตามราชการกำหนด และประเภทที่ต้องเสียเงินหรือสิ่งของมาแทนการเกณฑ์แรงงานหรือที่เรียกว่า “ไพร่ส่วย” การส่งเงินมาแทนการเกณฑ์แรงงาน เงินที่ส่งมาเรียกว่า “เงินค่าราชการ”ส่วนไพร่สมเป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้มูลนายและขุนนางที่มีตำแหน่งทางราชการเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน มูลนายจะมีไพร่มากน้อยขึ้นอยู่กับยศ ตำแหน่งศักดินา ไพร่สมต้องทำงานให้ราชสำนักปีละ 1 เดือน ส่วนเวลาที่เหลือรับใช้มูลนายหรือส่งเงินแทน เมื่อถึงยามสงครามทุกคนต้องเป็นทหารป้องกันอาณาจักร เมื่อมูลนายถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตรจะขอควบคุมไพร่สมต่อจากบิดา
จากนัยข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า พิชญ์ คงตีความว่า การเมืองไทยหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมานั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในมือของบรรดาชนชั้นที่อยู่เหนือไพร่ขึ้นไป อันได้แก่ พระมหากษัตริย์ มหาอำมาตย์ และเหล่าขุนนางใหญ่น้อย ส่วนประชาชนพลเมืองถูกลิดรอนสิทธิทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยไป รัฐธรรมนูญ 2550 ก็เป็นผลผลิตทางการเมืองของเหล่าคนเหล่านี้ด้วย
ถ้าจะตีความต่อจากแนวคิดข้างต้นในแบบของ พิชญ์ ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่า ผลการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค. 2550 กลับบ่งชี้ให้เห็นถึงชัยชนะของเหล่า
“ไพร่” ที่ยามเมื่อการเมืองเปิดโอกาสให้มีสิทธิมีเสียง พวกเขาก็จะเอาการเมืองกลับมาเป็นของพวกเขาได้ แต่เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คือ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การเมืองก็กลับมาอยู่ในบงการของอำมาตย์อีกแม้ว่าอาจจะไม่เต็มร้อยเหมือนช่วงหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 จนถึงวันที่ 23 ธ.ค. 2550 ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น
“ประชาธิปไตยครึ่งใบ” นั่นคือ แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากการเลือกตั้ง แต่อิทธิพลที่ก่อให้เกิดการย้ายข้างเปลี่ยนขั้วในสภาหลังที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบไปแล้วเป็นอิทธิพลที่มาจากอำมาตย์ขุนนางฝ่ายทหาร และนี่ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของที่มาของการชูคำขวัญ “สงครามไพร่” ของกลุ่ม นปช.แน่นอนว่า การใช้คำว่า
“ไพร่” ก็เพื่อต้องการให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปได้ตระหนักเห็นถึงสถานะทางการเมืองอันแท้จริงของตนเองว่าไม่ต่างจาก “ไพร่” ในสมัยศักดินาตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ขณะเดียวกัน ถ้าจะเล่นไปถึงคำว่า “ทาส” ก็คงจะกระไรอยู่ เพราะสภาวะหรือสถานะในแบบ “ทาส” คงหลงเหลืออยู่น้อยเต็มทีในสังคมไทยปัจจุบัน นั่นคือ ถ้าใช้ “สงครามทาส” ก็คงจะออกอาการ “เวอร์” เกินไป พี่น้อง นปช.อาจจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือเกินจริงไปนั่นก็คือการมองย้อนกลับไปที่ผลงานทางวิชาการของนักวิชาการท่านหนึ่งหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. แต่ถ้ามองย้อนกลับไปถึง 2475 ที่มีคณะบุคคลคณะหนึ่งอันประกอบไปด้วยข้าราชการทหารและพลเรือนจำนวน 102 นาย ได้เข้าทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย บริบทขณะนั้นในปี 2475 นั้น ในทางกฎหมาย สังคมไทยไม่มีระบบไพร่และทาส โดยถูกยกเลิกไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในการยึดอำนาจทางการเมืองการปกครองของพระมหากษัตริย์นั้น คณะบุคคลดังกล่าวตั้งชื่อคณะของตนว่า
“คณะราษฎร” เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้และปลุกจิตสำนึกทางการเมืองของผู้คนทั่วไปในการต่อสู้กับ “คณะของบรรดาเจ้าทั้งหลาย”จากข้างต้น จะเห็นได้ว่าหากเปรียบเทียบการต่อสู้ทางการเมืองของ
“คณะราษฎร” ในปี 2475 กับกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่ชูธง “สงครามไพร่” ในปี 2553 แล้ว จะพบความเหมือนและความต่าง ความเหมือนกันคือ เป้าหมายในการต่อสู้ยังคงเป็น “คณะเจ้า” อยู่ โดยอาจจะรวมเอาบรรดา “ขุนนางอำมาตย์” ที่นิยมเจ้าเข้าไปด้วยเป็นสำคัญ มิฉะนั้นแล้วก็ไม่เข้าใจว่าจะใช้คำว่า “ไพร่” ใน พ.ศ. นี้ทำไมส่วนความต่างประการแรก คือ การต่อสู้ภายใต้คำว่า
“ราษฎร” ของคณะราษฎรในปี 2475 เป็นการต่อสู้ทั้งในทางกฎหมายและในทางสังคมวัฒนธรรม กล่าวคือ คณะราษฎรต้องการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองและเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อให้สิทธิทางการเมืองแก่ “ราษฎร” เพื่อทำให้เป็น “ประชาชนพลเมือง” อย่างแท้จริง อีกทั้งยังต้องการทำลายค่านิยมทางสังคมวัฒนธรรมที่ยังตกค้างอยู่ให้หมดไปด้วยในระดับที่พอๆ กันกับการต่อสู้ในทางกฎหมายสำหรับการต่อสู้ของกลุ่ม นปช. ภายใต้
“สงครามไพร่” ในปี พ.ศ. 2553 นั้น เป็นการต่อสู้เชิงสังคมและวัฒนธรรมมากกว่าที่จะเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายทั้งหมด เพราะโดยรวมกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ได้ให้สิทธิทางการเมืองต่างๆ แก่ประชาชนพลเมืองอยู่พอสมควรแล้ว เพียงแต่ยังไม่พอเพียงในความคิดความเข้าใจของกลุ่ม นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายมาตราในรัฐธรรมนูญ 2550 รวมทั้งที่มาในแบบ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ของรัฐบาลปัจจุบันด้วยความต่างประการที่สอง คือ ระดับของความรุนแรง เมื่อเทียบกับ 2475 จะพบว่า คณะราษฎรยังไม่คิดจะใช้คำว่าไพร่มารณรงค์ เพราะเข้าใจว่าผู้คนคงไม่คิดว่าตนตกอยู่ในสถานะของไพร่หรือทาส แต่กลุ่ม นปช. หยิบยกคำว่า
“ไพร่” ขึ้นมาใช้ ก็น่าจะมุ่งให้เกิดความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงต่อ “ผู้ที่มีอำนาจทางการเมือง” ขณะนี้ ขณะเดียวกันถ้าจะต้องการให้เป็น “สงครามชนชั้น” อย่างที่แกนนำ นปช. บางคนปราศรัย ก็จะพบว่าการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ยังเป็นสงครามชนชั้นระหว่าง “เจ้า” กับ “ไพร่” ยังหาใช่ก้าวหน้าไปถึงสงครามชนชั้นระหว่าง “นายทุน” กับ “กรรมาชีพ” ไม่ในแง่นี้กล่าวได้ว่า ปัญญาชนเบื้องหลังกลุ่ม นปช. ยังมุ่งมั่นติดใจอยู่กับอุดมการณ์ของคณะราษฎรในปี 2475 และพยายามที่จะทำให้ภาพปัญหาวิกฤตทางการเมืองขณะนี้เป็นภาพวิกฤตของ
“การปฏิวัติ 2475 ยังไม่สิ้นสุด” และทำทีว่าจะต้องการให้รุนแรงเฉียบขาดกว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า สิ่งที่คณะราษฎรทำสำเร็จก็คือ การทำให้ระบอบกษัตริย์อำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด เปลี่ยนมาเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้อำนาจทางการเมืองการปกครองของกษัตริย์สิ้นสุดลงเป็นเพียงการใช้อำนาจทางการเมืองแทนราษฎรหรือประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริงตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติกล่าวได้ว่า ในทางปฏิบัติ อำนาจในทางบารมีของพระมหากษัตริย์ก็สามารถมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับองค์พระมหากษัตริย์และเงื่อนไขของเหตุการณ์ทางการเมืองดังนั้น การรณรงค์ต่อสู้ในลักษณะที่พยายามสืบสานอุดมการณ์ของคณะราษฎรในปี พ.ศ. นี้ ก็ย่อมต้องมุ่งสู่เป้าหมายที่เข้มข้นขึ้นกว่าการมีระบอบการปกครองที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่จะเป็นเพียงในระดับทางสังคมวัฒนธรรมหรือในระดับกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น ก็ยังไม่มีความชัดเจนในหมู่ปัญญาชนและแกนนำของ นปช. m
(อ่านต่อพรุ่งนี้)


