เมงกลาบา รู้จักพม่าผ่านนักลงทุนไทย
ถนนธุรกิจกำลังมุ่งตรงเข้าพม่า ใช่เพียงตลาดใหญ่ประชากรกว่า 50 ล้านคน แต่การปิดประเทศมาร่วมครึ่งศตวรรษ
ถนนธุรกิจกำลังมุ่งตรงเข้าพม่า ใช่เพียงตลาดใหญ่ประชากรกว่า 50 ล้านคน แต่การปิดประเทศมาร่วมครึ่งศตวรรษ
ทรัพยากรธรรมชาติอันมีอยู่มหาศาล ทั้งสินแร่ และแหล่งพลังงาน ทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งแหล่งไฟฟ้าพลังน้ำ ยั่วยวนให้กลุ่มทุนจากหลายแหล่งเกือบทุกมุมโลกแห่เข้าพม่า ยิ่งนโยบายเปิดกว้างทางการเมืองของรัฐบาลประธานาธิบดี เต็งเส่ง นับตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2553 เป็นต้นมา ทำให้โลกตะวันตกผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อพม่า ก็เสมือนเสียงเป่านกหวีดให้กลุ่มทุนต่างๆ ทะยานจากจุดสตาร์ตพุ่งเข้าไปในพม่า
สำนักข่าวต่างประเทศประเมินว่า ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของต่างชาติในพม่ามีมูลค่าประมาณ 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่เพียงช่วงปี 25532554 เป็นต้นมา พบว่าการลงทุนของต่างชาติในพม่ามีมูลค่าสูงถึง 19,997 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าการลงทุนในพม่าตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมารวมกัน
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในปี 2554 มีต่างชาติลงทุนในพม่าถึง 31 ประเทศ 38% โดย 31% เป็นการลงทุนของกลุ่มประเทศอาเซียน โดยไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนสะสมมากที่สุด รองลงมา คือ อังกฤษ สิงคโปร์ และจีน ประเภทธุรกิจที่มีการลงทุนมากที่สุด คือ พลังงาน รองลงมา คือ การขุดเจาะน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ การขนส่ง และอุตสาหกรรมการผลิต ตามลำดับ
ในฐานะนักลงทุนรุ่นบุกเบิกเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ประสิทธิ์ โพธสุธน สว.สุพรรณบุรี อดีตเจ้าของ “โกลเดน ไทรแองเกิล แอนด์ พาราไดซ์ รีสอร์ท” กาสิโนขนาดใหญ่ในพม่า ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เล่าประสบการณ์เมื่อครั้งเดินทางเข้าพม่าประสานงานกับรัฐบาลทหารในขณะนั้นว่า เป็นการเข้าไปแบบไม่รู้เรื่อง เนื่องจากพม่าเป็นพื้นที่ลงทุนใหม่ แต่ความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองทำให้ผู้มาลงทุนรู้ทิศทางในระยะยาวว่าควรปรับตัวอย่างไร
“ผมไปลงทุนทำกิจการโรงแรมตั้งแต่ปี 2532 ช่วงนั้นการลงทุนในพม่าจะเรียกว่าลำบากก็ลำบาก จะเรียกว่าสะดวกสบายก็ได้ รัฐบาลพม่าแม้จะเป็นรัฐบาลทหารก็ได้อำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ มีหลายมาตรการเพื่อส่งเสริมการลงทุน ทำให้นักลงทุนไม่รู้สึกอึดอัด ที่สำคัญคนพม่าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์อย่างมาก ทำงานขยันอดทนและมีวินัยที่ดี”
ผ่านมากว่า 20 ปี ประสิทธิ์เห็นว่าธุรกิจที่ควรลงทุนในพม่า คือ ธุรกิจเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติซึ่งยังมีอีกมาก และพม่าต้องการให้นักธุรกิจมาลงทุนในธุรกิจนี้เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศพม่า เพราะเขาต้องการเม็ดเงินไปพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในประเทศเช่นกัน เขาเห็นว่าทั้ง ปตท. และปูนซิเมนต์ไทย มาถูกทางแล้วที่เตรียมลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติ
“ถ้าเราสามารถเข้าไปเป็นกลุ่มทุนกลุ่มแรกๆ ที่บุกเบิกในพม่าได้ก่อน ไทยก็จะได้เปรียบประเทศอื่นๆ เรามีข้อได้เปรียบตรงที่เราเป็นประเทศเพื่อนบ้าน และมีความสัมพันธ์อันดีมาตลอด”
โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง ผู้ผลิตและขายอุปกรณ์ไฟฟ้าในประเทศพม่ามากว่า 15 ปี ล่าสุดได้ลงนามสัญญาโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 1,000 เมกะวัตต์ ในเขตตะนาวศรี (ทะยินทะเย) เล่าว่า การเริ่มต้นธุรกิจในพม่านั้นไม่ง่าย ต้องมีผู้ร่วมทุนที่เป็นคนท้องถิ่น เนื่องจากต้องมีการสื่อสาร การติดต่อหน่วยงานราชการหรือธุรกิจในท้องถิ่นต้องให้คนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ
“3 ปีแรกที่บริษัทเข้าไปค้าขายกับพม่าขายไม่ได้ งบประมาณไม่มี มีการซื้อขายเพียงเล็กน้อย ซ่อมแซมระบบที่มีอยู่”
เธอเล่าถึงเคล็ดลับการเชื่อมสัมพันธ์กับฝ่ายพม่า ซึ่งแน่นอนว่ามักจะเป็นกลุ่มนายทหารที่ดูแลหน่วยงานสำคัญๆ
“คนไทยกับคนพม่ามีวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ทั้งศาสนาและวิถีชีวิต ดังนั้นทำให้การค้าขายระหว่างกันไม่เป็นอุปสรรคมากนัก การติดต่อกับผู้บริหารรัฐบาลพม่านั้นใกล้เคียงกับผู้บริหารไทย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไปชอบตีกอล์ฟ มีสนามกอล์ฟที่กรุงเนย์ปิดอว์ เมืองหลวงพม่า หลายแห่งแต่ไม่หรูหราเท่าเมืองไทย หากผู้บริหารเหล่านี้มาเมืองไทย ชอบมาช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง สยามสแควร์ พารากอน และเกษร แล้วแต่ระดับ ชอบมาตีกอล์ฟ รับประทานอาหาร เนื่องจากต้องมาพักที่กรุงเทพฯ อย่างน้อย 1 วัน ก่อนเดินทางต่อไปยังจีน เกาหลี อินเดีย ญี่ปุ่น หรือยุโรป”
สำหรับกลุ่มผู้ลงทุนรุ่นใหม่ พิชัย ถิ่นสันติสุข ประธานกรรมการบริษัท ราชาอีควิปเมนท์ และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งล่าสุดได้ลงนามสัญญาร่วมทุนกับเอกชนของพม่า ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะขนาด 20 เมกะวัตต์ มูลค่า การลงทุน 2,000-3,000 ล้านบาท ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2554 บอกว่า การเข้าไปติดต่อเจรจาธุรกิจ เรื่องแรกที่ควรทำคือ ต้องดูแลพันธมิตรทางธุรกิจของเราอย่างดี เช่น ออกค่าใช้จ่ายให้ในทุกกิจกรรมที่ทำร่วมกัน
“การไปลงทุนในพม่าต้องใช้ความอดทนและใจเย็น เนื่องจากพม่าไม่เหมือนประเทศอื่นที่สามารถหอบเงินไปลงทุน ภายใน 1 ปีก็สามารถตั้งโรงงานได้ แต่สำหรับพม่าแล้วยังต้องรอการศึกษา หรือการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค หรือบางธุรกิจอาจจะต้องรอให้พม่ามีความเจริญมากกว่านี้ก่อน ถึงจะไปลงทุนได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็ควรใช้โอกาสหาเพื่อน พันธมิตรทางธุรกิจให้มากที่สุด ทำให้เขาไว้ใจ เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเชื่อมโยงไปทำธุรกิจอื่นๆ ได้”
พิชัย บอกว่า ต้องทำความเข้าใจว่าพม่าเพิ่งเปิดประเทศรับการลงทุนจากต่างประเทศ ความเข้าใจในการรองรับการลงทุนจึงมีน้อย และส่วนใหญ่พม่าจะคิดว่าเมื่อนักลงทุนต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจในพม่าจะต้องเป็นผู้ให้ หรือคิดว่าคนที่ไปลงทุนเป็นคนรวยมีเงินทุกคน
พิชัย แนะนำอีกว่า ระหว่างอยู่ในพม่า ไม่ควรแสดงออกเรื่องการเมืองในพม่า ไม่ว่าจะเป็นการเอ่ยถึงฝ่ายไหนก็ตาม เพราะการเมืองภายในพม่ายังมีความขัดแย้งกันอยู่ หากมีการพูดเรื่องการเมืองคนที่ไปทำธุรกิจด้วยจะแสดงออกว่าไม่พอใจทันที
ด้าน เกียรติชัย พงษ์พานิช คอลัมนิสต์ข่าวต่างประเทศ ที่ติดตามการเมืองและการเปลี่ยนแปลงในพม่ามากว่า 20 ปี เห็นว่าการทำธุรกิจในพม่าถือเป็นโอกาสดีในการขยายตัวเศรษฐกิจของไทย และพม่าก็กำลังเปิดการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจอาเซียนและเศรษฐกิจโลก
เขาเห็นว่า ปัจจัยสำคัญคือต้องทำความเข้าใจพม่าหลังเปิดประเทศ เพราะตั้งแต่มีการเรียกร้องประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2531 พม่าได้ออกกฎหมายเศรษฐกิจสังคมนิยมพม่า ซึ่งกำหนดลักษณะธุรกิจที่ให้เอกชนทำได้ และธุรกิจอะไรที่รัฐสงวนไว้ ต้องทำความเข้าใจว่ากฎหมายนี้ยังมีอยู่หรือยกเลิกไป แต่ที่ทราบมาคือ กำลังมีการพิจารณากฎหมายใหม่ ซึ่งจะต้องดูว่าเอื้อต่อนักลงทุนมากน้อยแค่ไหน
“เพราะฉะนั้น การเปิดประเทศของพม่า ความพร้อมในทางกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐานในการลงทุน มีการปรับปรุงแก้ไขไปมากแค่ไหน จึงถือเป็นจุดเสี่ยงของนักลงทุน ที่จะต้องไปติดตามอย่างใกล้ชิด”
เกียรติชัย ตั้งข้อสังเกตถึงสุนทรพจน์ที่ อองซาน ซูจี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดี กล่าวในการประชุมเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัมก่อนหน้านี้ว่า ซูจียอมรับถึงความไม่ พร้อมของพม่าในการลงทุน ซึ่งจุดหนึ่งที่ต้องระวังคือการลงทุนแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) พม่าคิดให้เกิดโครงการ แต่ไม่ได้คิดเกิดจริงจัง เช่น กำลังทุนที่ไม่พร้อมก็อาจเป็นภาระของฝ่ายไทย
นอกจากนี้ เขาชี้ให้เห็นข้อสังเกตของซูจีที่ว่า การลงทุนนั้นเป็นไปเพื่อการพัฒนาประเทศมากน้อยแค่ไหน เพราะการลงทุนที่ไม่รอบคอบจะทำให้นักลงทุนมีค่าใช้จ่ายเบี้ยบ้ายรายทาง การลงทุนที่มองแต่จะได้ หมายจะเอา จึงต้องถามความพร้อมว่า มีความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน
สำหรับสังคมวิถีชีวิตในประเทศพม่านั้น นวลาภ ธีรธนาธร วิศวกรการเจาะ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ซึ่งเข้าไปทำงานอยู่ในพม่ากว่า 3 ปีแล้ว บอกว่า ความรู้สึกที่คนพม่ามีกับคนไทยเป็นไปในทิศทางที่ดี ความรู้สึกขัดแย้งในประวัติศาสตร์นั้น คนพม่าไม่ได้รู้สึกเข้มข้นเท่าคนไทย ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปแล้ว
การใช้ชีวิตในประเทศพม่า หลังการเปลี่ยนแปลงการเมือง นวลาภ บอกว่า ชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้าพม่ามากขึ้น เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปย่างกุ้งเต็มทุกวัน ทุกเที่ยวบิน
“เมื่อมีต่างชาติเข้ามามาก ส่งผลให้ค่าครองชีพโดยเฉพาะที่พักอาศัยราคาสูงขึ้น น่าจะแพงกว่าบ้านเราไปแล้วด้วยซ้ำ Service Apartment ต้องจองล่วงหน้ากันครึ่งค่อนปี ราคาคอนโดในย่างกุ้งขนาดห้อง 20 ตารางเมตร พอๆ กับคอนโดย่านสุขุมวิทบ้านเรา แต่ด้านการจราจรพัฒนามากขึ้น รวมทั้งการเปิดกว้างให้ใช้อินเทอร์เน็ต”
นวลาภ บอกว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวังในพม่า คือ คนพม่าไม่ชอบให้เปรียบเทียบประเทศพม่ากับประเทศอื่นในทุกๆ ด้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องแฟชั่น และคนพม่าจะเหมือนคนไทยที่ชอบให้คนพูดด้วยความสุภาพ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน และก็ยังเคารพระบบอาวุโส
พม่าเปิดแล้ว นักลงทุนไทยพร้อม หน้าเดิน


