เวิ้งนาครเขษมจากเมืองราชสกุลถึงเจ้าสัว
เวิ้งนาครเขษม ย่านการค้าเก่าแก่ที่มีปูมประวัติยาวนานมาตั้งแต่ครั้งที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดให้ขุดสระขนาดใหญ่และทำเป็นสวนสำหรับเป็นที่พักผ่อนของคนทั่วไปเรียกกันว่า
โดย...วราพงษ์ ป่านแก้ว
เวิ้งนาครเขษม ย่านการค้าเก่าแก่ที่มีปูมประวัติยาวนานมาตั้งแต่ครั้งที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดให้ขุดสระขนาดใหญ่และทำเป็นสวนสำหรับเป็นที่พักผ่อนของคนทั่วไปเรียกกันว่า วังน้ำทิพย์ ใกล้ๆ บริเวณนั้นเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวจีนแต้จิ๋ว และต่อมาได้พระราชทานที่ดินดังกล่าวให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนคร สวรรค์วรพินิต เป็นผู้จัดการดูแล โดยทรงเห็นว่าบริเวณวังน้ำทิพย์มีชุมชนเกิดขึ้นแล้ว จึงได้ถมดินให้เป็นที่โล่งกว้างใหญ่ตั้งชื่อว่า เวิ้งนาครเขษม ซึ่งหมายถึงเวิ้งอันเป็นที่รื่นรมย์ของชาวเมือง
ด้วยความที่เป็นชุมชนชาวจีนที่มาช่วยสร้างบ้านแปงเมืองตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เวิ้งนาครเขษมจึงเป็นแหล่งค้าขายของชาวจีนมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นที่ค้าขายแบบแบกับดินเรื่อยมาจนกลายเป็นชุมชนการค้าแบบห้องแถวจากอาคารไม้ชั้นเดียวพัฒนาเป็นอาคาร 2 ชั้น 3 ชั้น ตามความเจริญทางเศรษฐกิจที่พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ จนปัจจุบันเวิ้งนาครเขษมกลายเป็นย่านการค้าระดับคลาสสิกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร (กทม.)
เวิ้งนาครเขษมในยุคเศรษฐกิจสมัยใหม่ มีสินค้าที่หลากหลายครบเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของเก่า เครื่องทองเหลือง เครื่องดนตรี เครื่องไฟฟ้า ตำรับตำราต่างๆ ไปจนถึงอาหารการกินอันเลื่องชื่อด้านรสชาติตามตำรับชาวจีน โดยชุมชนเวิ้งนาครเขษมปัจจุบันมีอยู่กว่า 440 ครัวเรือนที่เช่าที่ดินทำมาหากินโดยมีสำนักงานบริพัตรเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ให้กับ 5 ตระกูลใหญ่ ทายาทของกรมพระนครสวรรค์วรพินิต
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ที่ดินย่านเขตเมืองเก่ากลายเป็นขุมทองด้านการค้าสมัยใหม่ที่มีรถไฟฟ้าเป็นตัวนำความเปลี่ยนแปลง เวิ้งนาครเขษมก็หลีกหนีไม่พ้นระบบทุนนิยมที่แพร่กระจายไปได้ทุกที่อย่างรวดเร็ว เมื่อสำนักงานบริพัตรตัดสินใจไม่ต่ออายุให้กับผู้เช่าทั้งหมดที่จะลงในเดือน ก.ย. 2555 และประกาศประมูลขายที่ดินเวิ้งนาครเขษมจำนวน 14 ไร่เศษ ด้วยราคาเริ่มที่ 3,800 ล้านบาท ท่ามกลางการต่อต้านของชาวชุมชนที่อยู่กินบนที่ดินผืนนี้มาหลายชั่วอายุคน จนนำไปสู่การรวมกลุ่มตั้งบริษัท เวิ้งนาครเขษม เพื่อระดมซื้อที่ดินเอาไว้เอง แต่ก็ไม่ประสบผล
การประกาศขายที่ดินเวิ้งนาครเขษมครั้งนี้ ได้สร้างความสนใจให้กับกลุ่มทุนใหญ่จากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแพลทินัม ประตูน้ำ กลุ่มสยามแก๊ส กลุ่มอักษรา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เช่าในเวิ้งนาครเขษม กลุ่มทีวีช่องของ ประชา มาลีนนท์ และที่ขาดไม่ได้คือกลุ่ม ที.ซี.ซี. ของ เจริญ สิริวัฒนภักดี ทำให้ราคาวิ่งไปไกลถึง 5,500 ล้านบาท โดยกลุ่มอักษรา เจ้าของธุรกิจไออีและอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้กำชัยเฉือนกลุ่มช่อง 3 ที่เสนอราคาที่ 5,300 ล้านบาท ไปหวุดหวิด
แต่กลุ่มอักษราก็ได้ถอนตัวไป ทำให้สำนักงานบริพัตรได้นำที่ดินมาเปิดบิดใหม่ในราคา 4,800 ล้านบาท จนที่สุดเจ้าสัวเจริญเป็นผู้ได้สิทธิในที่ดินเวิ้งนาครเขษมไปด้วยราคาขายสุทธิ 5,000 ล้านบาท แต่ราคาที่มีการแจ้งโอนนั้น มีการแจ้งว่าเป็นราคาที่ 4,507 ล้านบาท และค่าโอนกว่า 300 ล้านบาท โดยได้ทำการโอนเปลี่ยนมาอยู่ในมือเจ้าสัวน้ำเมาเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนประกาศราคาประเมินใหม่อย่างเฉียดฉิวประหยัดค่าโอนไปได้ร่วม 340 ล้านบาท
ถือเป็นการปิดฉากที่ดินเก่าในมือราชสกุลแบบเรียบร้อยโรงเรียนเจ้าสัวไปอีก 1 แปลง
การเข้ามาของกลุ่มทุนน้ำเมาทำให้ผู้เช่าในเวิ้งนาครเขษมหวั่นใจว่า สัญญาเช่าที่กำลังจะหมดลงจะไม่ได้รับการต่อใหม่ เมื่อที่ดินเปลี่ยนเจ้าของ แต่ล่าสุด เจริญ ประธานกลุ่ม ที.ซี.ซี. ยืนยันว่า จะต่อสัญญาเช่าให้ทุกราย และจะพัฒนาในเชิงพาณิชย์พื้นที่นี้ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาจทำให้ ชาวเวิ้งนาครเขษมเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง
ขณะที่ลูกสาว ได้แก่ วัลลภา ไตรโสรัส รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีซีซี แลนด์ และลูกเขย โสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีซีซี แคปปิตอล แลนด์ มีแนวคิดที่จะเชื่อมต่อระหว่างการพัฒนากับคุณค่าทางประวัติศาสตร์เวิ้งนาครเขษมให้เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะที่ดินแปลงดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของไชน่าทาวน์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่ กทม.และชุมชนในเชิงอนุรักษ์ได้ ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับที่ดินเก่าอีสต์เอเชียติ๊กที่บริษัทพัฒนากลายเป็นโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ในปัจจุบัน
เวิ้งนาครเขษมยุคใหม่ในมือนายทุนคนใหม่จะออกหัวออกก้อยอย่างไรต้องคอยติดตาม


