posttoday

เยี่ยมพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ

24 มิถุนายน 2555

โดย...สมาน สุดโต

โดย...สมาน สุดโต

เมื่อวันที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จถึงวังวรดิศ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2485 นั้น เป็นช่วงที่น้ำท่วมกรุงเทพมหานคร จึงเสด็จทางเรือ พอถึงตำหนักที่ประทับ หรือวังวรดิศแล้วประทับที่ระเบียง แล้วทรงอุทานว่า My home แสดงถึงความปลื้มปีติ ความรักบ้าน หลังจากนิราศไปประทับที่ปีนัง 10 ปี

บ้าน คือ วังวรดิศ ที่เป็นพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 ถึงปัจจุบัน คือสถานที่สำนักวรรณกรรม กรมศิลปากรพาคณะเจ้าหน้าที่ชมเนื่องในวันประสูติ 150 ปี และ 50 ปีบุคคลสำคัญของโลก ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2555

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 4 ประสูติในบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2405 ทรงพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร พระองค์เป็นเสนาบดีคู่พระราชหฤทัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้ชื่อว่าทรงเป็นพระบิดาในหลายอย่างในประเทศไทย เช่น พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ พระบิดาแห่งมัคคุเทศก์ พระบิดาแห่งนักปกครอง ทรงเป็นนักเขียน นักประพันธ์ มีผลงานนับไม่ถ้วน มีพระเกียรติคุณมากมาย ยากที่จะพรรณนาได้หมด ด้วยพระองค์ท่านเป็นอัจฉริยบุรุษ

ทรงเสียสละเพื่อทรงงานราชการนานถึง 56 ปี จนกระทั่งลาออกเด็ดขาดทุกตำแหน่ง โดยตำแหน่งสุดท้าย คือ นายกราชบัณฑิตยสภา หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แล้วเสด็จไปประทับที่หัวหิน 1 ปี เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เสด็จฯ ยุโรป จึงถวายบังคมลาแล้วเสด็จไปประทับที่ปีนัง นาน 10 ปี จึงเสด็จกลับไทย

วังวรดิศเป็นอาคาร 2 ชั้น ค่าก่อสร้าง 5 หมื่นบาท เป็นรูปทรงแบบฝรั่ง ผู้ออกแบบคือ นายคาร์ล ดอริ่ง วิศวกรหนุ่ม อายุ 27 ปี 1 ใน 3 วิศวกรคนเก่งชาวเยอรมันสมัยนั้น ที่ออกแบบพระราชวังบ้านปืน วังบางขุนพรหม และวังวรดิศ เป็นผู้ที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงจ้างมาเป็นผู้ช่วยวิศวกรดูแลการสร้างทางรถไฟ

ส่วนความเป็นมาของวังวรดิศ อร่าม สวัสดิวิชัย ซึ่งศรัทธาในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตั้งแต่เรียนมัธยมที่ปากท่อพิทยาคม ราชบุรี หลังจากอ่านสาส์นสมเด็จ เมื่อมาเรียนที่กรุงเทพมหานครไปอ่านหนังสือที่หอสมุดดำรงราชานุภาพ ที่ตั้งอยู่หน้าวัดมหาธาตุ ก็ส่งเงินสมทบทุนมูลนิธิดำรงราชานุภาพทุกเดือน จนกระทั่ง ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ขอดูตัว จึงได้ถวายตัวเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2507 ได้นำพระดำรัสสั่งของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ บันทึกโดย ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล มาพิมพ์ถวายสนองพระคุณในคราวครบ 150 ปีวันประสูติ และ 50 ปี บุคคลสำคัญของโลก ตอนหนึ่งของพระดำรัสสั่งเกี่ยวกับที่ดินวังวรดิศ ว่าคุณย่า (เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 4) รับจำนำไว้ในราคา 50 ชั่ง (4,000 บาท) ตั้งแต่ยังเรียกว่าสนามควาย เพราะเป็นที่ลุ่ม ต่อมารัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์ถวายรางวัล ที่ทรงจัดมณฑลได้สำเร็จ เมื่อทราบว่ามีที่ดินหลุดจำนำ แต่ไม่มีทางออกจึงจัดหาที่ดินของพระคลังข้างที่พระราชทานให้ ที่ดินในเวลานั้นมีราคาเพียงตารางวาละ 12 บาท เท่านั้น ซึ่งเป็นที่สร้างวังวรดิศที่เห็นในปัจจุบัน

อาจารย์อุดม เพ็ญเพียร เป็นไกด์พาคณะจากกรมศิลปากรชมพิพิธภัณฑ์ โดยเริ่มชมตั้งแต่เฉลียงหลัง เป็นที่สมเด็จเสวยพร้อมพระราชโอรส พระราชธิดา นอกจากเสวยก็ทรงอบรมไปพร้อมๆ กัน เมื่อเข้าไปด้านในเป็นห้องที่เสด็จขึ้นลงจากชั้นบน และเสด็จเข้าออกพระตำหนัก โดยมีนาฬิกาโบราณเรือนใหญ่ ทำในเยอรมนีสำหรับบริหารเวลา นาฬิกาเรือนนี้พลตรีพระยาวาสุเทพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจคนที่ 5 (เป็นฝรั่ง) นำมาถวาย เพราะนับถือสมเด็จที่ทรงงานที่กระทรวงมหาดไทยเป็นเวลานาน 23 ปี

เยี่ยมพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ

 

เหนือนาฬิกาเป็นรูปภาพตำหนักเก่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่วังบูรพา (คือที่ตั้งโรงแรมมิรามาในปัจจุบัน) ซึ่งสมเด็จพระพันปีหลวง พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จ เมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่แล้วตรัสถามว่าประทับอยู่ได้อย่างไร เมื่อห้างบีกริม แอนด์โก สร้างบังลม น่าจะหาที่ใหม่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลว่าทนไปหน่อยก็เคยชิน ต่อจากนั้น 23 เดือน สมเด็จพระพันปีหลวง มีพระราชเสาวนีย์ให้สร้างวังใหม่โดยตัวพระองค์ (พระพันปี) และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 จะพระราชทานทุนทรัพย์คนละครึ่ง พระตำหนักสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2454

จากนั้นไกด์พาชมห้องจีนที่มีโต๊ะมุกชุดใหญ่ที่สั่งซื้อจากประเทศจีน พร้อมทั้งตุ๊กตาฮกลกซิ่ว ซึ่งเป็นของหายากในปัจจุบัน เมื่อเข้าไปที่ห้อง Study ที่อยู่ติดๆ กัน ก็จะพบโซฟาที่เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และสมเด็จพระอนุชาธิราช ธรรมาสน์เทศน์ สำหรับพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา รูปหล่อพระอวโลกิเตศวร รูปพระแม่มารีกับพระเยซู และสัญลักษณ์ศาสนาอิสลาม เมื่อเข้าที่ห้องอาหารที่จัดโต๊ะแบบยุโรป ไกด์บอกว่าเป็นห้องสาธิตการรับประทานอาหารแบบฝรั่งให้ผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ศึกษาวัฒนธรรมประเพณีการกินของชาวยุโรป เพื่อจะได้ทำตัวกลมกลืนแบบเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม

จากนั้นก็พาไปดูโต๊ะเสวย ซึ่งเป็นโต๊ะไม้ทรงกลมที่มีประวัติบันทึกว่าสมเด็จประทับที่โต๊ะนี้ในเช้าวันที่ 24 มิ.ย. 2475 วันที่คณะราษฎรยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยพระองค์ท่านประทับอยู่กับสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่เสด็จมาประทับอยู่ด้วย หลังจากทรงทราบข่าวการปฏิวัติ

ในเวลาเดียวกันนั้นทหารก็มาล้อมวังวรดิศ ทูลเชิญไปประทับที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ประทับที่นั่นอยู่ 23 วัน แล้วปล่อยตัวมา ขณะนั้นพระองค์ท่านอายุ 70 เศษแล้ว ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี โดยไม่มีบทบาทบริหารแต่อย่างใด

ที่กำแพงห้องนั้นมีกรอบใส่ลายพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเขียนข้อความว่า ไม่เข้าออกใครเลย อยู่รักษาแต่ตัว เป็นข้าแผ่นดิน เพื่อลบล้างคำครหาต่างๆ ในช่วงที่ทรงอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร

ที่ชั้นบนตำหนัก มีที่ชมอีก 7 ห้อง ที่สำคัญ คือ ห้องเกียรติสถิต เก็บภาพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในราชสกุลดิศกุล โดยอัญเชิญภาพพระยาโกษาปาน สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ต้นราชสกุลจักรี ที่สามารถสืบได้จริงๆ มาประดิษฐานไว้ด้วย และมีพระฉายาลักษณ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตั้งอยู่ที่กำแพงทิศตะวันออก

เมื่อผ่านไปอีกห้องหนึ่งเห็นถุงกอล์ฟโบราณที่เก็บไว้มุมหนึ่งของตำหนัก ไกด์บอกว่ามีผู้นำมาถวายสมเด็จ แต่พระองค์คงไม่มีเวลาทรงกอล์ฟ เพราะทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการค้นคว้าและนิพนธ์ทางด้านวิชาการ

เมื่อผ่านห้องที่จัดแสดงเครื่องแต่กายของพระราชโอรสของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เช่น คุณชายสังขดิศ เป็นต้น ก็มาถึงห้องที่เก็บของสำคัญนั่นคือมุ้งที่สมเด็จเคยประทับเมื่อเด็ก ปัจจุบันนำมาเก็บในตู้สุญญากาศ ถัดไปเป็นห้องทรงงาน มีโต๊ะทรงงาน ที่มีทั้งแว่นขยายและเทพีแห่งความยุติธรรมตั้งอยู่ เมื่อประทับทรงงานตรงนี้ อากาศถ่ายเทเย็นสบาย

ในห้องทรงงานไกด์ชี้ให้ดูนาฬิกาพกโบราณค่อนข้างใหญ่ ตั้งอยู่บนหลังตู้ เข็มนาฬิกาหยุดที่เวลา 13.30 น. แล้วหมดลานไม่เดินต่อ เวลาที่หยุดนั้นคือเวลาที่สมเด็จสิ้นพระชนม์ ในวันที่ 1 ธ.ค. 2486 ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก ทางทายาทเก็บนาฬิกาไว้โดยไม่ได้ไขลานให้เดินใหม่ เพื่อเป็นอนุสรณ์

สุดท้ายคือห้องสำคัญที่สุดมีความสำคํญรองลงมาจากปราสาทพระเทพบิดรทีเดียว คือห้องพระและห้องเก็บพระบรมอัฐิ โดยมีพระพุทธรูปจอมจักร พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนประดิษฐานเป็นประธานตรงกลาง ส่วนตู้ซ้ายและขวาประดิษฐานพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 5 และบูรพกษัตริย์หลายพระองค์

เมื่อชมพิพิธภัณฑ์ที่เคยเป็นพระตำหนักของสมเด็จฯ ทุกคนยอมรับว่าพระองค์ท่านเป็นบุคคลที่คนไทยภูมิใจและควรเอาอย่าง เพราะทั้งพระชนม์ชีพ ทรงอุทิศเพื่อพระราชวงศ์และประเทศไทย มีความเป็นอัจฉริยะยากที่จะหาพบในคนทั่วไป สมแล้วที่เป็นบุคคลสำคัญที่โลกยกย่อง

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา