รัฐไฟเขียวนาซ่าใช้อู่ตะเภาวิจัย2เดือน
รัฐบาลไฟเขียวนาซ่าใช้อู่ตะเภาทำโครงการวิจัยสภาพภูมิอากาศใช้เวลา 2 เดือน กองทัพย้ำไม่มีทหารเกี่ยวข้อง
รัฐบาลไฟเขียวนาซ่าใช้อู่ตะเภาทำโครงการวิจัยสภาพภูมิอากาศใช้เวลา 2 เดือน กองทัพย้ำไม่มีทหารเกี่ยวข้อง
เมื่อเวลา 11.30 น. นายสรุพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรร่วมกับผู้นำเหล่าทัพ ถึงกรณีองค์การนาซ่าขอใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภา โดยกระทรวงการต่างประเทศจะนำเสนอวาระการอนุญาตให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(องค์การนาซ่า) เข้ามาดำเนินการโครงการศึกษาก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในวันที่ 19 มิ.ย.นี้
นายสุรพงษ์ แถลงว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ" หรือ เอชเอดีอาร์ (Humanitarian Assistance and Disaster Relief) และโครงการ "การศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศ" หรือ เอสอีเอซี4อาร์เอส (Southeast Asia Composition, Cloud and Climate Coupling Regional Study) โดยองค์กรบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ประเทศสหรัฐ หรือ นาซ่า ซึ่งได้ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการ
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ศูนย์ เอชเอดีอาร์ ถือเป็นความริเริ่มจากรัฐบาลที่แล้ว ที่เล็งเห็นถึงสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติค่อนข้างรุนแรง เช่นเหตุการณ์สึนามิ แผ่นดินไหว เป็นผลให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตทรัพย์สิน ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ดำเนินการต่อในลักษณะโอเปอเรเตอร์ติดตามเหตุการณ์โดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อหารือถึงการตั้งศูนย์เอชเอดีอาร์แบบไม่ถาวร มีเจ้าหน้าที่ประจำตลอดเวลาในช่วงเกิดเหตุภัยพิบัติซึ่งจะคล้ายกับศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติแห่งชาติ(ศปภ.) โดยนานาชาติก็จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการ ถือเป็นความร่วมมือในระดับสากลอยู่แล้ว ในการปฏิบัติหน้าที่จนสถานการณ์คลี่คลาย
“การช่วยเหลือด้านเอชเอดีอาร์ เป็นการร่วมกันหลายประเทศ ไม่ใช่ลักษณะทวิภาคี ไทยกับสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เป็นลักษณะพหุภาพมีชาติอื่นๆเช่น ประเทศจีนเข้าร่วมด้วย อาจมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ทหาร ประชาชน ในการช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ”นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีนาซ่าที่ขอเข้ามาสำรวจสนภาพภูมิอากาศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเหตุผลสำคัญเกี่ยวกับการติดตามตรวจสอบผลกระทบที่มีต่อธรรมชาติ เช่นใต้ฝุ่น ลมมรสุม เพื่อให้ได้ข้อมูลละเอียดขึ้นนอกจากสำรวจผ่านดาวเทียม โดยจะมีเครืองบินสำรวจ 3 ลำ ร่วมบินกับฝ่ายไทยของสำนักงานฝนหลวง
“ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ จึงให้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมตกลงในรายละเอียดรูปแบบการดำเนินการ ตลอดจนเครื่องบินที่จะบินสำรวจ ทั้งนี้ที่ผ่านมา นาซ่าก็ได้รับอนุญาตบินผ่านน่านฟ้า กัมพูชา สิงคโปร์มาแล้วโดยไม่มีข้อขัดแย้งใด” นายสุรพงษ์ กล่าว
ส่วนที่กังวลว่า ประเด็นดังกล่าวเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ต้องนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาหรือไม่ ประเด็นนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาให้ความเห็นแล้วโดยจะมีการเสนอความเห็นให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาวันที่ 19 มิ.ย.ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นกระทรวงการต่างประเทศได้ให้กรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศพิจารณามีความเห็นว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 190 วรรค 2 แต่อยู่ในข่ายมาตรา 190 วรรค 1 ที่ต้องส่งเรื่องให้ครม.พิจารณา
นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า กรณีที่ฝ่ายค้านนำเสนอข่าวโจมตีนั้น มีผลให้คนไม่เข้าใจข้อเท็จจริง และอาจทำให้ประเทศจีนเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ประชุมได้มอบหมายให้ตนเองได้หารือชี้แจงกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย พร้อมกันนั้นปลายเดือนมิ.ย.ที่จะเดินทางไปเยือนจีน ก็จะหยิบยกเรื่องนี้ชี้แจงทำความเข้าใจด้วย
"ที่มีข่าวจากฝ่ายค้านออกมา ประชาชนไปฟัง ตั้งข้อสังเกตจะทำให้จีนโกรธ เกิดความไม่เข้าใจ แต่ทางทูตจีนอ่านภาษาไทยได้ อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่า จีนมีความเข้าใจในเรื่องนี้ เพราะนาซ่าก็เคยไปสำรวจที่ฮ่องกง ซึ่งจีนไม่ได้เดือดร้อน แต่ในส่วนของพวกเราฝ่ายค้านก็ช่วยให้เลอะไปหมด"นายสุรพงษ์ กล่าว
นายปลอดประสพ กล่าวว่า อย่าเพิ่งตกใจกรณีนาซ่าใช้พื้นที่อู่ตะเภา เพราะโครงการความร่วมมือนาซ่าไม่ใช่มีเฉพาะประเทศไทย เพราะก่อนหน้านี้ก็ไปสำรวจในจีน เกาหลีใต้ โดยเขาจะใช้เวลา 2 เดือนก็เสร็จ อีกอย่างนาซ่าเป็นองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ และไปร่วมสำรวจกับรัสเซียก็มีแล้ว ประเทศต่างก็ให้ความร่วมมือกับนาซ่า
"การสำรวจของนาซ่า ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างกรณีน้ำท่วม เราจะได้เรียนรู้เรื่องฝน เรื่องเมฆ ซึ่งไทยไม่มีความรู้ และยังได้รับความรู้เรื่องของฝุ่นละอองเล็กในประเทศไทย จากการเผาป่า เผาไร่ ซึ่งจะเป็นผลต่อทัศนวิสัย มองไม่ชัดเจน ทำให้มีผลต่อคุณภาพอากาศไม่เป็นปกติ และเป็นส่วนเกี่ยบวกับภาวะโลกร้อน จึงเป็นการได้เรียนรู้ทางวิชาการไม่เกี่ยวกับความมั่นคง แต่เพื่อให้เกิดความสบายใจ ทางรัฐบาลจะได้ตั้งคณะทำงานโดยผมเป็นประธานร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง"นายปลอดประสพ กล่าว
นายปลอดประสพ ให้เหตุผลทำไมต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา ว่า มี 3 ประการ ได้แก่ 1 . ดาวเทียมยุทธศาสตร์อยู่ใกล้บริเวณศรีราชา จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภาซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน 2. การตรวจฝุ่นละออง เมฆ ส่วนใหญ่จะสำรวจพื้นที่ที่อยู่บริเวณทะเล และ 3. การใช้เครื่องบินจำเป็นต้องใช้ทางวิ่งที่ยาวมาก จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา
ด้านพล.อ.อ.สุกัมพล กล่าวว่า ข้อกังวลที่เกรงว่าจะกระทบความมั่นคงนั้น กองทัพอากาศจะมีส่วนในการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆที่จะนำขึ้นบินสำรวจ อีกทั้งก่อนดำเนินโครงการ ก็จะมาดูในเรื่องขั้นตอนปฏิบัติ ที่ต้องมากำหนดร่วมกัน โดยองค์การนาซาต่องทำตามมีข้อห้ามตรงไหนอย่างไร ทั้งนี้ขอยืนยันไม่มีการเอาทหารเข้ามา เป็นเรื่องของภัยพิบัติโดยตรง


