posttoday

เศรษฐศาสตร์ต่อตลาดรถยนต์เกรย์

15 มิถุนายน 2555

ตลาดเกรย์ (Grey Market) หรือการนำเข้าแบบคู่ขนาน (Parallel Import)

โดย...เกรียงไกร เตชานนท์

ตลาดเกรย์ (Grey Market) หรือการนำเข้าแบบคู่ขนาน (Parallel Import) เป็นวิธีการหากำไรทางธุรกิจโดยการซื้อสินค้าจากแหล่งที่ราคาถูกมาขายในตลาดที่ยินดีจ่ายราคาสูงกว่า หากพิจารณาความหมายแล้ว คำว่าการนำเข้าแบบคู่ขนานอาจจะทำให้เราเข้าใจได้ง่ายกว่า เพราะหมายความว่ามีผู้นำเข้าอิสระนำเข้าสินค้าที่เป็น “ของแท้” จากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศ ซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทำการตลาดอยู่แล้ว

ที่เห็นชัดเจนน่าจะเป็นตลาด iPhone และ iPad ที่ “หิ้ว” มาจำหน่ายกันครึกโครมที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำกลางกรุง

นอกจากสินค้าไอทีแล้ว ยังมีสินค้าประเภท น้ำหอม เครื่องสำอาง กระเป๋าแบรนด์เนมจากฝรั่งเศส นาฬิกาหรูจากสวิส รวมถึงรถยนต์ราคาแพงด้วย

บทความนี้จะอธิบายถึงตลาดรถยนต์เป็นหลัก ผู้เขียนจึงเลือกใช้คำว่าตลาดเกรย์แทน เพราะสั้นกว่าและเป็นที่รู้จักในวงการรถยนต์

บทความนี้พยายามจะอธิบายกลไกตลาดรถยนต์เกรย์ว่า เหตุใดจึงเกิดขึ้นและเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของรถเกรย์และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคส่วนต่างๆ ในทางเศรษฐศาสตร์พอสังเขป

จากบทความของ Duhan and Sheffet (1988) เขาได้อธิบายว่า เงื่อนไขจำเป็นสามประการที่จะทำให้เกิดตลาดเกรย์ได้

ประการแรก ผู้ประกอบการสามารถหาสินค้าจากต่างประเทศได้

ประการที่สอง อุปสรรคทางการค้าต่ำ เช่น อัตราภาษีอากรนำเข้าหรือต้นทุนการขนส่งต่ำ รวมถึงข้อกฎหมายในการดำเนินธุรกิจอื่นๆ ไม่ยุ่งยาก

ประการสุดท้ายคือ การที่ราคาสินค้าแตกต่างกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากผลของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น เมื่อเงินบาทแข็งค่า ผู้บริโภคก็จะรู้สึกว่าราคาสินค้านำเข้าถูกลง หรืออาจจะเกิดจากการแบ่งแยกราคาขายโดยเจ้าของสินค้าที่คิดราคาแพงในตลาดที่อุปสงค์มีความยืดหยุ่นต่ำ และคิดราคาถูกในตลาดที่ความยืดหยุ่นของอุปสงค์สูงกว่า

ผู้ประกอบการตลาดเกรย์ที่สามารถหาสินค้าที่ตลาดอื่นไม่ต้องการหรือมีราคาถูกมาขายในประเทศ ก็สามารถสร้างกำไรมหาศาล ในขณะเดียวกันผู้บริโภคเองก็มีทางเลือกมากขึ้น เมื่อสินค้ามีหลากหลายขึ้นและราคาถูกลง (ถูกกว่าราคาที่ตัวแทนจำหน่าย)

เราก็น่าจะกล่าวได้ว่า สังคมได้ประโยชน์จากการมีตลาดเกรย์ และเราน่าจะส่งเสริมตลาดนี้ให้มากขึ้น เพื่อจะลดอำนาจตลาดของตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

เราจำเป็นต้องพิจารณาหลายด้านประกอบกันในตลาดเกรย์ เราอาจแบ่งผู้เล่นที่สำคัญออกเป็นสี่กลุ่มด้วยกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มก็ต้องการแสวงหาประโยชน์ต่างกัน

กลุ่มแรก คือ ผู้ผลิตหรือเจ้าของตราสินค้ารวมถึงตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ที่ต้องการแสวงหากำไรจากการลงทุนในตราสินค้า การผลิต และการตลาด

กลุ่มที่สอง คือ ผู้ประกอบการนำเข้าอิสระที่ต้องการแสวงหากำไรจากส่วนต่างราคา

กลุ่มที่สาม คือ ผู้บริโภคต้องการความหลากหลายของสินค้า และต้องการซื้อสินค้าในราคาที่ถูกกว่าราคาของตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และ

กลุ่มสุดท้าย คือ รัฐบาลที่ต้องการรายได้จากภาษีอากรต่างๆ เช่น อากรนำเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ฯลฯ

แม้ประเทศไทยผลิตรถยนต์ได้จำนวนมาก แต่ตลาดรถยนต์นำเข้าก็มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มรถหรูที่มักจะมีราคาสูงลิ่ว ในตลาดนี้เองที่ผู้นำเข้าอิสระได้รับความนิยมจากผู้ซื้อมาก

ผู้อ่านคงเคยได้ยินใช่ไหมครับว่า รถนำเข้าถูกเก็บภาษีสูงมากเป็น 200-300% เช่น หากราคารถยี่ห้อดังที่ต้องสั่งซื้อจากยุโรปมีราคาประมาณหนึ่งล้านบาท เมื่อนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยก็ต้องเสียภาษีอากรนำเข้า 80% จากนั้นเสียภาษีสรรพสามิตอีกในอัตรา 30-45% แล้วแต่ขนาดเครื่องยนต์และการใช้เชื้อเพลิง บวกภาษีบำรุงท้องถิ่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ซึ่งหากเราคิดด้วยอัตราภาษีสรรพสามิต 30% รวมเบ็ดเสร็จก็จะมีราคาเป็น 2.87 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้รวมต้นทุนการขนส่ง ค่าบริการจัดหารถ กำไรของผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้ราคาจำหน่ายสูงขึ้นอีก 20% เป็นอย่างน้อย ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่ายสูงขึ้นเป็น 3.5 ล้านบาทเลยทีเดียว

หากราคานำเข้าสูงกว่านั้น ท่านก็สามารถคิดง่ายๆ ด้วยการคูณราคานำเข้าด้วย 3 หรือ 3.5 ก็จะได้เลขกลมๆ ของราคาขายปลีกที่ควรจะเป็น

ตัวอย่างเช่น รถยนต์นิสสัน คิวบ์ ราคาที่ญี่ปุ่นประมาณ 1.5 ล้านเยน (คิดค่าเงินวันนี้ก็ตกประมาณ 6 แสนบาท) เมื่อมาขายในไทยก็จะมีราคาประมาณ 1.8 ล้านบาท เป็นต้น

เหตุผลที่ผู้บริโภคนิยมซื้อรถยนต์จากตลาดเกรย์ ก็เพราะราคาถูกกว่าราคาตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการค่อนข้างมาก และผู้ซื้อเชื่อว่าสินค้ามีความเหมือนกันทุกประการ

ผู้เขียนลองค้นข้อมูลเพื่อใช้เป็นตัวอย่างสักรุ่นหนึ่ง คือ รถ Mercedes E250 CGI Cabriolet ราคาขายปลีกที่อังกฤษประมาณ 3.7 หมื่นปอนด์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.8 ล้านบาท เมื่อนำมาเสียภาษีอากรนำเข้าและอื่นๆ ตามโครงสร้างภาษีที่อธิบายข้างต้นแล้ว ราคารถที่มาถึงเมืองไทยจะประมาณ 5.1 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี เมื่อบริษัทค่ายรถนำเข้ามาเอง เขาย่อมได้ราคาขายส่งซึ่งจะต่ำกว่าราคาขายปลีกที่อังกฤษ สมมติว่าต่ำกว่าประมาณ 10-15% ราคาที่ตัวแทนจำหน่ายในประเทศได้รับมาคือประมาณ 4.3-4.4 ล้านบาท ราคาขายปลีกประมาณ 5.1-5.4 ล้านบาท

ดังนั้น จึงมีกำไรประมาณ 15% เกิดขึ้นจากการขายในประเทศไทย

ผู้เขียนเชื่อว่าจะเป็นกำไรปกติที่เจ้าของตราสินค้าและตัวแทนจำหน่ายพึงได้จากการลงทุนสร้างเครือข่ายการขายและการซ่อมบำรุงแก่ลูกค้าในประเทศ

แต่รถรุ่นเดียวกันนี้ ตลาดเกรย์ในประเทศสามารถเสนอขายได้ในราคาต่ำกว่าตัวแทนจำหน่ายประมาณ 5-8 แสนบาท ทั้งๆ ที่ผู้นำเข้าอิสระเหล่านี้ไม่สามารถซื้อรถได้ในราคาขายส่งเช่นบริษัทเจ้าของตราสินค้า

เมื่อราคาที่ซื้อจากต้นทางสูงกว่า ด้วยอัตราภาษีที่เหมือนกัน ราคาขายปลีกก็น่าจะสูงกว่าหรือไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผู้ซื้อโดยทั่วไปมักจะได้คำอธิบายว่าค่ายรถคิดราคาแพงเกินจริง

เอาไว้ฉบับหน้าเรามาดูตลาดรถเกรย์ มาร์เก็ต กับรถจดประกอบกันต่อนะครับ

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ