posttoday

มาตรา 68 ชนวนชี้ขาด รื้อรัฐธรรมนูญ

06 มิถุนายน 2555

จับอาการของพรรคเพื่อไทยเวลานี้นับว่าออกอาการฟาดงวงฟาดงาพอควร ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68

โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

จับอาการของพรรคเพื่อไทยเวลานี้นับว่าออกอาการฟาดงวงฟาดงาพอควร ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่าการจัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้กำเนิดสภาร่างรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

ล่าสุดถึงขั้นออกแถลงการณ์ในนามพรรคเพื่อไทยแสดงความไม่พอใจต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน ยังไม่นับกระบวนการของเครือข่ายที่ระดมทีมวิจารณ์ศาลอย่างถึงพริกถึงขิง พร้อมกับยุให้รัฐสภาภายใต้เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยเดินหน้าลุยเต็มที่

สำหรับประเด็นนี้มีการเคลื่อนไหวกันมานานแล้วตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเริ่มจุดพลุแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกลุ่ม สว.สรรหา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์พยายามหาช่องทางกฎหมายว่าสามารถล้มกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญได้หรือไม่

วรินทร์ เทียมจรัส อดีต สว.สรรหา และคณะ สว.สรรหาปัจจุบัน นำโดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ตั้งประเด็นข้อสงสัยว่า บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้มีหมวดว่าด้วยการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เนื่องจากมาตรา 291 กำหนดขอบเขตเฉพาะ “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ”

กล่าวคือ การใช้อำนาจนิติบัญญัติเพื่อแก้ไขมาตรา 291 กระทำได้เพียงแค่การแก้ไขในรายมาตราเท่านั้น เหมือนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะประเด็น เช่น ที่มาและจำนวน สส.เป็น 500 คน จากเดิม 480 คน จึงไม่สามารถตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศได้อย่างที่รัฐสภาในปัจจุบันกำลังทำอยู่

เมื่อการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่สามารถกระทำได้ แต่ผู้เสนอทั้งคณะรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนายังฝ่าฝืนกฎหมาย จึงเท่ากับเป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งความผิดลักษณะนี้ มาตรา 68 ได้เปิดช่องให้สามารถยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

ประเด็นหนึ่งที่คณะผู้ยื่นกลุ่มนี้สงสัย คือ มีสิทธิใช้ช่องทางใดส่งคำร้องให้กับศาลรัฐธรรมนูญได้บ้างระหว่าง “ต้องยื่นต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น” หรือ “สามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเองได้โดยตรง” เนื่องจากในวรรค 2 ของมาตรา 68 เขียนเอาไว้คลุมเครือว่า

“ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรค 1 (ล้มล้างการปกครอง) ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย...”

ดังนั้น คณะผู้ร้องได้ยกรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ขึ้นมาประกอบเพื่อเป็นหลักประกันสร้างความมั่นใจว่าสามารถยื่นคำร้องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง นอกเหนือไปจากการยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุด

มาตรา 212 ระบุว่า “บุคคลมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้”

มาตรา 68 ชนวนชี้ขาด รื้อรัฐธรรมนูญ

เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ใช้ปมนี้มาสกัดพรรคเพื่อไทยทันทีที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ารัฐสภา รวมไปถึงในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่มี “สามารถ แก้วมีชัย” สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าเมื่อครั้งยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ด้วยการแก้ไขมาตรา 211 สมัยรัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา ก็กระทำในลักษณะเดียวกัน ที่แก้มาตราเดียวแต่สามารถทะลุทะลวงจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับ ถือเป็นบรรทัดฐานที่สามารถกระทำได้

แต่ประเด็นนี้ก็ได้รับการโต้แย้งจาก กมธ.เสียงข้างน้อยว่าเวลานั้นยังไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ มีก็เพียงตุลาการรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายการเมืองคุมได้ ซึ่งก็ไม่มีบุคคลใดไปยื่นเรื่องให้วินิจฉัย

ที่สุดแล้ว ทั้งคณะ สว. และพรรคประชาธิปัตย์ ได้ใช้สองแนวทาง คือ การยื่นผ่านอัยการสูงสุดตามมาตรา 68 และยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 212 โดยตรง เพื่อตัดปัญหาข้อสงสัยในทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดได้เงียบไปโดยเฉพาะอัยการสูงสุด ซึ่งไม่แสดงความคืบหน้าต่อสาธารณชนว่า จะมีปฏิทินพิจารณาคำร้องนี้อย่างไรบ้าง จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. รับคำร้องนี้เอาไว้ และสั่งระงับไม่ให้รัฐสภาลงมติวาระ 3 วันที่ 5 มิ.ย. โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 ว่าด้วยการคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาคดี

สถานการณ์จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เผือกร้อนจึงไปตกกับ “อัยการสูงสุด” และ “ประธานรัฐสภา”

อัยการสูงสุดกำลังถูกเพ่งเล็งอย่างหนักจากสังคมว่าทำอะไรอยู่ ถึงไม่เร่งดำเนินการพิจารณาในทางหนึ่ง เพราะไม่อาจปฏิเสธว่าปัญหาในการมองมาตรา 68 ที่แตกต่างกันจนเกิดการวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญส่วนหนึ่งมาจากการวางเฉยของอัยการสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองท่าทีของอัยการสูงสุดเวลานี้อาจเป็นประโยชน์ต่อการคลี่คลายความขัดแย้งในมาตรา 68 หลังจากฝ่ายพรรคเพื่อไทยพยายามยกประเด็นว่า อัยการสูงสุดเท่านั้นที่มีสิทธิยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำวินิจฉัยได้

หากจากจับอาการอัยการที่แสดงออกมาล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. มีความเป็นไปได้ว่าในการประชุมคณะกรรมการอัยการสูงสุดวันที่ 7 มิ.ย. อาจส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เข้าองค์ประกอบของมาตรา 68 ชัดเจน

อย่างน้อยจะได้เลิกเถียงกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้หรือไม่ เพราะเมื่ออัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับมีคำร้องจากสองทางตามมาตรา 68 นอกจากนี้อัยการสูงสุดจะได้ไม่ต้องเป็นจำเลยสังคมเหมือนกับเมื่อครั้งไม่ยื่นศาลฎีกาให้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดในคดีการซื้อขายหุ้นของครอบครัวชินวัตร ที่มีคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นจำเลยคนสำคัญ

ขณะที่พรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงเปิดแนวรบทุกด้าน เน้นที่ศาลรัฐธรรมนูญทำผิดขั้นตอน เพื่อชี้ว่า ถ้า “ขาเข้า” ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ผิด “ขาออก” ที่หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่มีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับด้วยวิธีการนี้...ก็ไม่เป็นผล หรือโมฆะไปโดยปริยาย

ด้าน สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เป็นอีกรายที่ได้รับการเพ่งเล็งอย่างหนัก ทุกสายตาจับจ้องว่า ในฐานะประธานรัฐสภาจะตัดสินใจดันให้ลงมติเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากที่ประชุมรัฐสภาหรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันจากพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงสารพัดรูปแบบ

งานนี้ประธานสภาเจ้าของฉายาถึงกับมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด และไม่อยากเสี่ยง เข้าข่ายทำผิดถูกถอดถอนโทษฐานละเมิดคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ สุดท้ายจึงได้เรียกประชุมคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายของรัฐสภา และมีความเห็นให้เลื่อนการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา

จากนี้ไปเหลือแต่เพียงการรอการเปิดบัลลังก์ของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 5-6 ก.ค. และการอ่านคำวินิจฉัยเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าฝ่ายผู้เสียประโยชน์จากคำสั่งชะลอลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าตะลุยเต็มสูบ เพราะครั้งนี้เป็นเดิมพันการเมืองที่แพ้ไม่ได้

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68