ไพร่ลวงศักดินาหลอก
หลายปีก่อนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
หลายปีก่อนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ต้องขออภัยที่จำชื่อหนังสือและผู้เขียนไม่ได้) กล่าวถึงระบบไพร่ที่มีปัญหาอันเนื่องมาจาก “การหลอกลวง” ของขุนนางที่พยายามสร้าง “ตัวเลขไพร่” เพื่อ “ตบพระเนตร” กษัตริย์
เมื่อตอนที่อ่านก็ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง แต่พอมาพิจารณาการเมืองไทยขณะนี้ จึงเกิดเชื่อมโยงว่าปัญหานี้ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ว่ากันชัดๆ ก็คือชนชั้นปกครองไทยยังคง “หลอกใช้” ราษฎรเสมอมา ไม่ว่าจะในยุคศักดินาเก่าใต้ระบอบกษัตริย์ หรือในยุคศักดินาใหม่ใต้ระบอบนายทุน
“ไพร่” น่าจะมีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว อย่างที่พอสืบค้นได้ก็มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัยโน่นแล้ว เพราะมีคำว่าไพร่อยู่ในศิลาจารึกหลายแห่ง เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส ไพร่ฟ้าหน้าปก ที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยอธิบายไว้ว่า ไพร่ในสมัยสุโขทัยนั้นก็คือสามัญชนคนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ใต้การปกครองของพ่อขุน โดยที่ไพร่ฟ้าหน้าใสก็คือราษฎรที่มีความสุขสบายดี ส่วนไพร่ฟ้าหน้าปกก็คือราษฎรที่มีความทุกข์ความเดือดร้อน
หรือประโยคที่ว่า “พ่อขุนบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง” ท่านก็อธิบายว่าไพร่ในสมัยสุโขทัยนั้นมีอิสระเสรีเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ถูกเก็บภาษี (จกอบ คือ เงินที่เก็บจากการนำสินค้าผ่านด่านต่างๆ หรือในสมัยนี้ก็คือศุลกากร) จะค้าขายอะไรก็ทำได้ตามสะดวก เพราะประโยคก่อนหน้านี้ก็คือ “ใครใคร่ค้าม้าค้า ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าวัวค้าควายค้า” อันเป็นประโยคที่เราคุ้นหูกันดีสำหรับคนที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมา ไพร่ในสมัยสุโขทัยจึงเป็นเสรีชนโดยแท้
ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะสังคมสมัยสุโขทัยยังไม่มีความสลับซับซ้อน ที่สำคัญคือ “มโนสำนึก” (หมายถึงความรู้สึกนึกคิดของบุคคลที่แสดงความเป็นตัวตนของบุคคลคนนั้น เช่น คนดีมักจะคิดดีทำดีเสมอ“ความดี” จึงเป็นมโนสำนึกของคนแบบนี้) ของผู้ปกครองคือพ่อขุนท่านมองราษฎรว่าคือลูกคือหลาน จึงให้ความเมตตากรุณาแก่ราษฎรนั้นโดยถ้วนหน้า
มาถึงสมัยอยุธยา การแข่งขันการสร้างอำนาจให้ใหญ่โตมโหฬารของผู้ปกครองในอาณาจักรต่างๆ อย่างที่เรียกว่า “การแผ่พระบรมเดชานุภาพ” ทำให้การควบคุมคนต้องมีความเข้มงวด ส่วนหนึ่งก็เพื่อเอามาเป็นกำลังในการทำศึกสงคราม และอีกส่วนหนึ่งเพื่อที่จะมาทำงานให้ “หลวง” ในการสร้างวังสร้างเมืองหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เช่น วัด และถนนหนทาง เพื่อแสดงถึงขนาดของ “พระบรมเดชานุภาพ” นั้น
เริ่มต้นกษัตริย์ของอยุธยาก็คงใช้วิธีกะเกณฑ์เป็นเฉพาะกิจเฉพาะคราว ซึ่งก็คือเอาไพร่หรือคนทั่วไปที่เป็นเสรีชนอยู่แล้วมากำหนดบทบาทหน้าที่ให้ทำ แล้วก็ให้ขุนนางคอยควบคุมเป็นกลุ่มๆ แต่ก็คงจะยังไม่เป็นระบบ จนมาถึงในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงได้ตราพระราชกำหนดศักดินาเพื่อจัดการควบคุมคนให้เป็นระเบียบ ที่นอกจากจะระบุตำแหน่งขุนนางให้ชัดเจนแล้ว ยังกำหนดขนาดของอำนาจที่วัดกันด้วยจำนวนนา อันมีนัยโดยอ้อมถึงจำนวนคนที่ต้องจัดหาหรือควบคุม เช่น เจ้าพระยานาหมื่น ก็หมายความว่า เจ้าพระยาที่เป็นตำแหน่งขุนนางสูงสุดนั้น น่าจะมีไพร่อยู่ในการควบคุมเป็นจำนวนหมื่นคนนั้นด้วย โดยที่ตำแหน่งขุนนางระดับล่างสุดคือ ขุน จะมีศักดินา 400
นอกจากนี้ ยังมีการจัดไพร่ออกเป็นพวกๆ เริ่มจาก “ไพร่สม” ที่อาจจะมีความหมายว่า ไพร่ที่สะสมหรือสำรองไว้ เพราะจะเกณฑ์เอาผู้ชายที่อายุ 18 ปีขึ้นไปมาขึ้นทะเบียน แล้วให้ขุนนางคอยดูแลไว้ตามภูมิลำเนา ครั้นพออายุได้ 20 ปีก็จะเป็น “ไพร่หลวง” คือจะถูกเกณฑ์ให้เข้ามาในราชธานี มีหน้าที่ที่จะต้องทำต่างๆ เช่น เป็นทหารเรียกว่า “ไพร่ราบ” เป็นคนงานก่อสร้างแบกหามเรียกว่า “ไพร่เลว” เป็นต้น (เรื่องชื่อเรียกและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับไพร่นี้ยังมีความสับสนอยู่พอควร ก็อย่างที่ตั้งเป็นชื่อบทความนี้แหละว่า ระบบไพร่ของไทยนี้มันลวงๆ อย่างไรชอบกล)
ระบบไพร่ก็ยังคงไม่เป็นระบบ คืออาจจะเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของกษัตริย์แต่ละพระองค์ รวมทั้งการระดมพล (ไพร่) หรือเรียกใช้งานก็น่าจะมีปัญหา ดังที่มาปรากฏในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ในหนังสือที่ผู้เขียนจำชื่อหนังสือและผู้แต่งไม่ได้นั้นแหละ) คือปรากฏว่าขุนนางหลายคนไม่ได้เอาใจใส่ในการควบคุมดูแลไพร่เท่าไหร่นัก ทั้งยังมีขุนนางบางคนเบียดบังเอาไพร่หลวงไปทำงานให้แก่ตน หรือใช้งานนอกราชการอยู่ด้วย แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือมีการแจ้งยอดจำนวนไพร่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง ส่วนใหญ่จะออกแนวเวอร์คือมีจำนวนมากเกินจริง ซึ่งน่าจะเรียกไพร่แบบนี้ได้ว่า “ไพร่ผี” (เหมือนจำนวนทหารที่ผู้บังคับบัญชาทหารไทยในยุคสงครามเวียดนามตั้งตัวเลขไปหลอกรัฐบาลสหรัฐเพื่อเพิ่มงบประมาณ จึงมีชื่อว่า “บัญชีผี”)
ระบบไพร่นี้คงจะเละเทะมากเรื่อยมา ดังจะเห็นว่าในสมัยอยุธยาตอนปลายมีไพร่หนีราชการเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งหนีไปบวชจนถึงขั้นต้องมีการจัดสอบวัดความรู้เรียกว่า“ไล่บาลี” หมายความว่า ถ้าบวชมาพรรษาขนาดนี้ควรจะมีความรู้พระธรรมและบาลีขนาดใด ถ้าความรู้ไม่ถึงขั้นก็ต้องถูกจับสึก ต่อมาก็เรียกสั้นเข้าว่า “สอบไล่” เฉยๆ จนมีคนผสมปนเปว่าหมายถึงการสอบไล่ออกจากความเป็นพระ ซึ่งแท้ที่จริงนั้นเป็นการ “ไล่หนังสือ” หรือ “ไล่ความรู้”
ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่ 1 อาจจะทรงพิจารณาเห็นว่าระบบไพร่นี้มีปัญหามาก จึงกำหนดระยะเวลาในการเข้ามาทำงานให้หลวงให้ชัดเจน เริ่มจากเข้าเดือนออกเดือน คือทำงานให้หลวงสลับกับการกลับไปทำไร่ทำนาครั้งละหนึ่งเดือน หรือเข้าเดือนออกสองเดือนก็คือขยายเวลาที่อยู่ในภูมิลำเนาให้นานขึ้น จนบางทีก็เข้าครึ่งปีออกครึ่งปีเพื่อให้มีเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งของหลวงและของตนให้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น ทั้งยังให้มีการใช้เงิน “ไถ่เวร” ที่ต่อมาเรียกว่าค่ารัชชูปการนั้นแลกกับการไม่ต้องมาทำงานให้หลวงในบางครั้งได้ด้วย
ในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ 2 3 และ 4 ได้มีคนจีนที่อพยพหนีภัยความวุ่นวายในประเทศจีนในยุคนั้นมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นจำนวนมาก แทบทั้งหมดมีฐานะแร้นแค้นจึงต้องมาทำงานเป็นกรรมกรรับจ้างต่างๆ ซึ่งก็มาทดแทนแรงงานไพร่ของไทยได้มาก จนในที่สุดรัชกาลที่ 5 ก็ทรงยกเลิกระบบไพร่ด้วยการตราเป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยการเกณฑ์ทหาร เป็นเหตุให้ระบบฐานอำนาจของรัฐและผู้ปกครองเริ่มเป็นระบบมากกว่าที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากพลังของทหารกับการเมืองไทยที่ยังคงแข็งแรงมาจนถึงปัจจุบัน
ผู้เขียนขอตัดฉากมาถึงการเมืองไทยในปัจจุบัน เพื่อสรุปให้เห็นว่าในความพยายามของกลุ่มทุนที่จะยึดครองอำนาจทางการเมือง คนพวกนี้จึงต้องหันไปมอมเมาประชาชนด้วยนโยบายประชานิยม ที่ก็ไม่ต่างอะไรกับที่อำมาตย์หรือศักดินาในระบบเก่าที่มอมเมาไพร่หรืออาณาประชาราษฎร์ทั้งหลายว่าจะได้รับการคุ้มครองและจัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในชีวิตให้ อย่างที่เกิดระบบ“เส้นสาย” ขึ้นในสังคมไทยนี้
ศักดินาสมัยใหม่หรือผู้มีอำนาจที่เติบโตมาจากกลุ่มทุนได้พยายาม “ย่อยสลาย” มวลชนให้สะดวกในการที่จะนำมาใช้ประโยชน์ เช่น เป็นฐานเสียงในการเลือกตั้ง เป็นมวลชนไว้บีบหรือเชียร์เพื่อรองรับความชอบธรรมในนโยบายต่างๆ ขณะเดียวกันในกลุ่มศักดินาด้วยกันนี้ก็ยังมีการเกทับบลัฟแหลกกันถึงจำนวนไพร่ที่ควบคุม หรืออ้างจำนวน “ไพร่ลวง” นั้นมาเบ่งทับกันอยู่ด้วย
พวกศักดินาหลอก ถ้าอ่านบทความนี้ก็จงย้อนไปดูประวัติศาสตร์ด้วยว่า รากฐานของไพร่ก็คือเสรีชน พวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยน “มโนสำนึก” อะไรเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเขาสำเหนียกว่าเขากำลังโดนหลอกลวง เหมือนอย่างที่คนไทยหรือ “ไพร่ไทย” ได้แสดงมาแล้วในการเลือกตั้งหลายครั้ง
คนเสื้อแดงหลายบ้านได้ถอดรูปใครบางคนลงมาทิ้งแล้ว ท่านรู้บ้างไหม?


