ศึกสงครามตัวแทน 'ออมสิน'สะเทือน
ปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กรของธนาคารออมสิน กำลังเป็นกรณีตัวอย่างที่ต้องจับตามองเรื่องของการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงการบริหาร
โดย...กนกวรรณ บุญประเสริฐ
ปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กรของธนาคารออมสิน กำลังเป็นกรณีตัวอย่างที่ต้องจับตามองเรื่องของการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงการบริหารของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ คือต้องการเอาคนของตัวเองเข้ามาทำงาน โดยการเขี่ยคนเก่าทิ้งไป จนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของธนาคารแห่งนี้ลดบทบาทลงอย่างน่าเสียดาย
เพราะการบริหารมีความขัดแย้งกันภายใน ยกระดับเทียบชั้นได้ถึงขั้น “สงครามตัวแทน” ที่กระหน่ำซัดกันนัวเนีย
ผลจากการทำงานที่ไม่สอดรับระหว่างกรรมการหลังการเข้ามาของ พรรณี สถาวโรดม ในตำแหน่งประธานกรรมการ ในช่วงปลายปี 2554 กับผู้บริหารคือ เลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน จนกระทบต่อผลดำเนินงานทำให้กำไรลดวูบ อีกทั้งยังไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าประชาชนรากหญ้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยพบว่ายอดรวมสินเชื่อคงค้างไตรมาสแรกปี 2555 อยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5-6 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดเงินฝากอยู่ที่ 1.59 ล้านล้านบาท ธนาคารมีกำไรประมาณ 2,000 ล้านบาท ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเป็นเงินกว่า 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกปี 2554 ที่มีกำไร 6,000 ล้านบาท
หากวิเคราะห์ผลดำเนินงานธนาคารออมสินในช่วง 5 ปีย้อนหลังในช่วงตั้งแต่ปี 2549 จากยุค กรพจน์ อัศวินวิจิตร มาสู่ยุค เลอศักดิ์ ไม่เคยมีครั้งใดที่ซัดกันหนักในยุคที่มีการส่งให้ “พรรณี” อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ซึ่งมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “พรรณี” คือเด็กในคาถาของอดีตผู้บริหารกระทรวงการคลัง คือ “นิพัทธ พุกกะณะสุต” เข้ามานั่งในตำแหน่ง
ก่อนเข้ามาของบอร์ดใหม่ นับตั้งแต่ปี 2549-2554 เส้นกราฟในแง่ของผลดำเนินงานธนาคารออมสินเป็นเส้นทะยานพุ่งชี้ขึ้นแบบฉุดไม่อยู่
ในปี 2549 ธนาคารออมสินเริ่มทำกำไรแตะที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท ในสมัยกรพจน์ และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 2.6 หมื่นล้านบาท ในปี 2554 ในสมัยของเลอศักดิ์
เริ่มจากสิ้นปี 2549 ธนาคารมีสินทรัพย์ 7.11 แสนล้านบาท มีเงินฝาก 6.14 แสนล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง 4.31 แสนล้านบาท มีกำไรกว่า 1 หมื่นล้านบาท มีเอ็นพีแอล 3.82%
สิ้นปี 2550 ธนาคารมีสินทรัพย์ 7.56 แสนล้านบาท มีเงินฝาก 6.43 แสนล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง 4.69 แสนล้านบาท มีกำไรกว่า 1.07 หมื่นล้านบาท มีเอ็นพีแอล 3.67%
พอสิ้นปี 2551 ธนาคารมีสินทรัพย์ 8.08 แสนล้านบาท มีเงินฝาก 7.02 แสนล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง 5.48 แสนล้านบาท มีกำไรกว่า 1.33 หมื่นล้านบาท มีเอ็นพีแอล 3.31%
ถึงสิ้นปี 2552 ธนาคารมีสินทรัพย์ 1.08 ล้านล้านบาท มีเงินฝาก 9.21 แสนล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง 7.81 แสนล้านบาท มีกำไรกว่า 1.58 หมื่นล้านบาท มีเอ็นพีแอล 2.20%
สิ้นปี 2553 ธนาคารมีสินทรัพย์ 1.46 ล้านล้านบาท มีเงินฝาก 1.18 ล้านล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง 1.11 ล้านล้านบาท มีกำไรกว่า 1.94 หมื่นล้านบาท มีเอ็นพีแอล 1.20%
ล่าสุด งวดสิ้นปี 2554 ธนาคารมีสินทรัพย์ 1.77 ล้านล้านบาท มีเงินฝาก 1.52 ล้านล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง 1.35 ล้านล้านบาท มีกำไรกว่า 2.63 หมื่นล้านบาท มีเอ็นพีแอล 0.94%
จะเห็นว่าผลดำเนินงานดังกล่าวเป็นตัวสะท้อนการทำงานระหว่างคณะกรรมการและฝ่ายบริหารที่สอดรับกันจนทำให้ธนาคารออมสินสามารถสนองรับนโยบายรัฐบาลได้อย่างมากมายมหาศาล
และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะการบริหารจัดการในยุคของเลอศักดิ์ และทีมงานของธนาคารออมสิน รวมถึงคณะกรรมการทั้งหมด ได้ทำให้ธนาคารออมสินกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการธนาคาร เงินฝากและสินเชื่อแตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท
แต่ผลจากการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการในช่วงปลายปี 2554 ทำให้การทำงานของธนาคารออมสินไม่สอดรับกันจนผลดำเนินงานสะดุด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายในเรื่องการปล่อยสินเชื่อใหม่ และความพยายามในการขุดคุ้ยเพื่อหาข้อทุจริตในการปล่อยสินเชื่อเดิม เรื่องการขยายสาขาและการรับพนักงานเพิ่ม ทำให้เครื่องยนต์กลไกการทำงานในธนาคารออมสินช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านดูราวกับเป็นคนที่ป่วยไข้
จากคนที่เคยวิ่งได้เร็ว ก็ต้องลดสปีดลงเหลือแค่การเดินแบบเหยาะๆ แม้ในมุมมองของคณะกรรมการบางส่วนจะมองว่า การเปลี่ยนแปลงการบริหารครั้งนี้จะนำไปสู่การปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพมากขึ้นก็ตาม
เรื่องการปรับวิธีการอนุมัติสินเชื่อ และการสืบค้นหากระบวนการทุจริตในธนาคารออมสินยังเป็นเพียงฉากหนึ่งในละครเรื่อง “สงครามตัวแทน” เท่านั้น เพราะฉากสำคัญที่กำลังฉายต่อจากนี้คือการไล่บี้เอา “เลอศักดิ์” ออกจากธนาคารออมสินเมื่อครบวาระ 4 ปี ในเดือน ก.ค.นี้ โดยปัดข้อเสนอเรื่องการต่ออายุในตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินอีกวาระให้เลอศักดิ์
แม้จะมีการทักท้วงในที่ประชุมบอร์ดเรื่องคะแนนการประเมินปี 2554 หรือล่าสุดที่เลอศักดิ์ได้รับการประเมินผลงานดีกว่าปีก่อน ซึ่งน่าจะนำไปสู่มติบอร์ดที่ยอมให้เลอศักดิ์อยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินต่ออีกวาระในช่วง 2 ปีที่เหลือก่อนเกษียณ
พร้อมกันนี้ ทางการเมืองยังได้ส่งคณะกรรมการใหม่เข้ามาผนึกกำลังอีก 3 คน คือ พีรพล ไตรทศาวิทย์ อดีตปลัดกระทรวงมหาด ไทย สุธรรม ศิริทิพย์สาคร อดีตผู้บริหารบริษัท ธนายง และ ชูจิรา กองแก้ว อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี ซึ่งเป็นคนสนิท และได้รับความไว้วางใจจาก สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เพราะในบอร์ดเองก็ยังแตกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายของประธาน ฝ่ายของเลอศักดิ์ และฝ่ายที่เป็นกลาง
ล่าสุด “พรรณี” ประกาศตั้งตัวเองเป็นประธานสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่ พร้อมด้วย กรรมการ 4 คน คือ สุธรรม ศิริทิพย์สาคร พีรพล ไตรทศาวิทย์ ชัยธวัช เสาวพันธ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งมีการประเมินว่ากรรมการ 3 ใน 5 ไม่น่าจะยกมือโหวตให้เลอศักดิ์
ทำให้ละคร “สงครามตัวแทน” เรื่องนี้น่าติดตามชมจนแทบไม่กล้ากะพริบตา เพราะล่าสุดมีข่าวลือหนาหูว่า ศึกภายในครั้งนี้ได้มีนำข่าวสารไปรายงานถึงดูไบ จนมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่า ถ้ายังสงบศึกภายในไม่ได้ในเร็ววัน
งานนี้ก็คงต้องไปกันทั้งสองฝ่าย...
แต่ไม่ว่า “สงครามตัวแทน” เรื่องจะจบออกมาแบบใด สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้แล้วคือ ธนาคารออมสินอยู่ในสภาพยับเยินจากการถูกอีแร้งทางการเมืองรุมทึ้ง หวังเข้ามาเกาะกินผลประโยชน์มหาศาลจากธนาคารรัฐแห่งนี้เสียแล้ว
ขวัญกำลังใจพนักงานถดถอย ผลดำเนินงานขาลง ที่สำคัญลูกค้า ประชาชนเองก็เสียโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ ขณะที่ผู้กำกับนโยบาย คือ กระทรวงการคลัง ทำได้แต่นั่งดูเขาโยนหอกโยนดาบทิ่มแทงกันแบบตาปริบๆ เท่านั้น


