posttoday

ยาม้า ยาบ้า ยาไอซ์ และซูโดอีเฟดรีน

15 พฤษภาคม 2555

ยาม้า ยาบ้า และยาไอซ์ มีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างยาวนานและซับซ้อน

โดย...นพ.วิชัย โชควิวัฒน

ยาม้า ยาบ้า และยาไอซ์ มีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างยาวนานและซับซ้อน มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน จะต้องค่อยๆ อธิบายจึงจะเข้าใจ ในประเทศไทยเราเริ่มต้นจากยาม้า ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ยาบ้า ส่วนยาไอซ์เข้ามาภายหลัง

ยาม้า เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกัน ตัวยาคือแอมเฟตามีน (Amphetamine) หรือ เมทแอมเฟตามีน (Metamphetamine) เมทแอฟเฟตามีน เป็นอนุพันธุ์ (Derivative) ของแอมเฟตามีน โดยการเติมส่วน เมธิล (Methyl) เข้าไปในโมเลกุลของแอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีนจึงเปรียบเสมือนเป็นลูกหลานของแอมเฟตามีน

ถ้าเปรียบกับคน แม้จะมีสิ่งที่เป็นไปตามคำพังเพยที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” แต่ลูกกับพ่อแม่ก็อาจมีลักษณะนิสัยใจคอแตกต่างกันได้มากมาย แม้แต่แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันและลำตัวติดกันอย่างฝาแฝดสยาม “อินจัน” ก็ยังมีลักษณะนิสัยใจคอแตกต่างกันมาก

แอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีนต่างมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางหรือสมองคล้ายกันคือมีฤทธิ์กระตุ้น แต่รายละเอียดแตกต่างกัน ตัวที่เป็นปัญหามากจนถึงปัจจุบัน คือ เมทแอมเฟตามีน ที่กลายสภาพเป็นยาเสพติดให้โทษร้ายแรง ทั้งๆ ที่แต่เดิมมีการนำไปใช้ประโยชน์ทางยากันมาก

ผู้เขียนเป็นคนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ (Baby Boomer) คือรุ่นคนเกิดมากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สมัยผู้เขียนเริ่มเข้าไปเรียนชั้นมัธยมในตัวอำเภอเมื่อต้นทศวรรษ 2500 ไม่นานก็เริ่มรู้จักยาม้าในรูปของ “ยาขยัน” ที่เด็กนักเรียนบางคนซื้อมากินเพื่อให้ “ขยัน” เพราะหวังผลให้ “ตาสว่าง” จะได้ดูหนังสือได้ทน ไม่ง่วงเหงาหาวนอน ผู้เขียนเคยซื้อมากินซองหนึ่ง กินได้เม็ดเดียวก็เข็ดและไม่กล้าใช้อีกเลย เพราะกินแล้วไม่เพียงแค่ “ตาสว่าง” แต่ถึงขั้นทำให้ “ตาแข็ง” และยังทำให้ใจสั่นกระวนกระวาย ผลคือเสียสมาธิในการดูหนังสือและที่ร้ายคือ นอนไม่หลับทั้งคืน รุ่งเช้าต้องไปโรงเรียนตามปกติ ก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โหวงเหวงและไม่สบายไปทั้งวัน

จำได้ว่าในหนังสือชีวประวัติ อาจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ท่านก็เคยใช้ยาขยันเพื่อดูหนังสือก่อนไปสอบแข่งขัน ผลคือ สอบไม่ได้ เพราะเจอประสบการณ์แบบเดียวกัน “ยาขยัน” จึงไม่ประสบความสำเร็จในตลาดเด็กนักเรียน เพราะมิได้ช่วยให้คนที่แม้ขยันอยู่แล้ว ขยันดูหนังสือได้มากขึ้น ซ้ำร้ายกลับประสบกับผลข้างเคียงที่เป็นผลเสียอย่างมากในขณะที่เด็กที่ไม่ขยันเป็นทุนเดิม ฤทธิ์ที่ทำให้ “ตาสว่าง” ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ขยันหรือเรียนดีขึ้นแต่อย่างใด

ยาม้า ไปประสบความสำเร็จในหมู่คนขับรถบรรทุก โดยเฉพาะรถสิบล้อและคนขับรถโดยสารระยะไกล ซึ่งต้องขับรถติดต่อกันยาวนานเกินกว่าร่างกายคนปกติจะรับได้

ในประเทศเจริญแล้ว กฎหมายจะกำหนดให้คนขับรถทางไกลจะต้องมีจุดพักอย่างเพียงพอ สมัยที่ผู้เขียนไปเรียนหนังสือที่สหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2521-2522 เคยไปใช้บริการรถโดยสารเกรย์ฮาวด์ เดินทางจากนิวออร์ลีนส์ไปบอสตัน ทางบริษัทรถยนต์จะมีคนขับคนใหม่มาสับเปลี่ยนระหว่างทาง เข้าใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย แต่บ้านเราคนขับรถบรรทุกต้องขับติดต่อกันยาวนาน 8-12 ชั่วโมง หรือกว่านั้น เพื่อไม่ให้ง่วง จึงต้องใช้ “ตัวช่วย” ซึ่งสมัยหนึ่งใช้ยาม้านี่แหละช่วยให้ตาสว่างขับรถไปได้จนตลอดรอดฝั่ง

ยาม้าเป็นที่นิยมในหมู่คนขับรถเหล่านี้ในสมัยนั้น เพราะมีการปรับขนาดยาจนพอเหมาะ เม็ดหนึ่งแบ่งเป็น 7-8 ส่วน ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้ตาสว่าง ไม่ง่วง และไม่เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ คือ ใจสั่น กระวนกระวาย

ผลร้ายของยาม้าเกิดจากปัญหา 2 อย่าง ได้แก่ 1) เมื่อกินแล้วมักทำให้ “คึกคะนอง” ทำให้มีการขับรถอย่างคึกคะนอง เร่งความเร็วเกินกำหนด แซงในที่คับขัน และสะใจเมื่อเกิดอุบัติเหตุชนคนหรือคนขี่จักรยานข้างทาง และ 2) เมื่อใช้ยาม้าช่วยในการขับรถจนไปถึงที่หมายปลายทางเที่ยวหนึ่งแล้ว บางคน “ควงกะ” เพราะต้องเร่งงานหรือคนขับรถขาด ก็ใช้ยาม้ากระตุ้นขับต่ออีกเที่ยว แทนที่จะพักให้พอเพียง ทำให้ร่างกายรับไม่ไหว และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น

อีกกลุ่มหนึ่งที่นำไปใช้ในสมัยนั้น คือ ในงานประเพณี เช่น งานศพ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งมักมีประเพณีการอยู่ “เป็นเพื่อนศพ” ตลอดคืนหลายคืนติดต่อต่อกัน เจ้าภาพบางรายจะใช้ยาม้าละลายในน้ำดื่มที่ใช้เลี้ยงแขก ทำให้แขกตาสว่าง สามารถนั่งคุยกันหรือเล่นการพนันหน้าศพได้เป็นที่ครึกครื้น หายโศกหายเศร้าไปตามๆ กัน

ในเมืองไทยเรียกยาแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีนว่า ยาม้า เพราะบริษัทที่ผลิตจำหน่าย และเป็นที่นิยมแพร่หลายในประเทศไทยมีตราสัญลักษณ์เป็นรูปหัวม้า ประกอบกับกินยาแล้วคึกคะนอง ชื่อยาม้าจึงติดปากคนไทยเรื่อยมา

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา