สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับเจ้าจอมมารดาชุ่ม ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2404 ทรงพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร
ชาววังโดยทั่วไปเรียกว่า “พระองค์ดิศ” โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว ทรงนำเอานามของพระอัพภันตริกามาตย์ (ดิส โรจนดิศ) ซึ่งเป็นบิดาของเจ้าจอมชุ่มมาตั้งพระราชทาน เนื่องจากทรงพระราชดำริว่าท่านเป็นคนซื่อตรง
ทรงได้รับการศึกษาในพระบรมมหาราชวัง ได้ทรงศึกษาภาษาไทยตามแบบเก่ากับคุณแสงเสมียน และคุณปาน ธิดาสมเด็จพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ในพระบรมมหาราชวัง ทรงศึกษาภาษาบาลีในสำนักพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) และหลวงธรรมานุวัติจำนง (จุ้ย) และทรงศึกษาภาษาอังกฤษในโรงเรียนหลวง โดย ฟรานซิส ยอร์ช แพตเตอร์สัน เป็นพระอาจารย์
พระองค์ทรงรับราชการในกรมทหารมหาดเล็กมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ครั้งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงจัดการกรมแผนที่เพื่อฝึกให้คนไทยทำแผนที่ พระองค์ก็ทรงกระทำอย่างเรียบร้อย ภายหลังโปรดให้บังคับบัญชากรมกองแก้วจินดา พระองค์ก็ทรงปฏิบัติได้อย่างถูกต้องพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้นในปี 2429 จึงทรงได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏ สถาปนาพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ การปกครองในเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิรูปใหม่เป็นอันมาก เช่น เมื่อทรงเห็นความสำคัญของโรงเรียนมากขึ้นตามลำดับ ก็ทรงตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นปฐมอธิบดี และต่อมากิจการศึกษากว้างขวางขึ้น จึงโปรดให้รวมกรมศึกษาธิการเข้ากับกรมธรรมการ แล้วทรงตั้งให้เป็นกระทรวงธรรมการ ต่อมาโปรดให้เป็นราชทูตพิเศษออกนานาประเทศ พระองค์ก็สนองพระราชโองการได้โดยเรียบร้อย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจัดระเบียบการปกครองใหม่ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไปเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทั้งยังเคยทรงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วย ต่อมาในปี 2442 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศเป็น “กรมหลวงดำรงราชานุภาพ”
ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณตลอดมา ตราบจนทรงพระชราทุพพลภาพไม่สามารถทำราชการหนักในตำแหน่งต่อไปได้อีก จึงกราบถวายบังคมลาออกจากเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นเสนาบดีที่ปรึกษาในปี 2454 ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศเป็น “กรมพระดำรงราชานุภาพ” ปี 2458 ทรงดำรงตำแหน่งนายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร ปี 2466 ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร และเป็นนายพลเอก ปี 2468 ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี ปี 2469 ทรงดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา ปี 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศเป็น “กรมพระยาดำรงราชานุภาพ”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มพระกำลังด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดี แม้ว่าจะทรงปฏิบัติหน้าที่ทางการศึกษาอยู่ในระยะเวลาอันสั้น แต่พระองค์ก็ได้ทรงดำริริเริ่มจัดการศึกษาได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เช่น ทรงเริ่มงานจัดการศึกษาเป็นครั้งแรก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนสภาพ “โรงเรียนทหารมหาดเล็ก” ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกสอนวิชาทหารให้แก่นายร้อย นายสิบ ในกรมทหารมหาดเล็ก มาเป็นโรงเรียนสำหรับพลเรือน มีชื่อเรียกว่า “โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ” และพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้จัดการโรงเรียน และในขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมธรรมการ ได้ทรงจัดวางระเบียบการบริหารราชการของกรมและโรงเรียน โดยได้ทรงวางระเบียบ ข้อบังคับ ตำแหน่งหน้าที่เสมียน พนักงานในการรับราชการ การเลื่อนตำแหน่ง ลาออก ลงโทษ ตลอดจนทรงกำหนดให้มีการตรวจสอบและรายงานผลตรวจโรงเรียนทั้งในกรุงและหัวเมืองของพนักงานด้วย
นอกจากนี้ ได้ทรงริเริ่มให้มีการตรวจสอบตำราเรียนและออกประกาศรับรอง ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และความสามารถอย่างเหมาะสม และทรงกำหนดให้มีการปรับปรุงหลักสูตรตำราเรียนขึ้นใหม่ คือ ตำราแบบเรียนเร็ว และทรงปรับปรุงและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ของหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งเป็นหอสมุดแห่งเดียวในพระนคร เช่น ทรงกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน จัดงบประมาณสำหรับซื้อหนังสือ กำหนดระเบียบวิชาการยืมและการเป็นสมาชิก เป็นต้น
ในด้านการมหาดไทย ซึ่งเป็นกิจการสำคัญยิ่งในการบริหารประเทศนั้น พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการก่อตั้งและปฏิรูปการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศ และการบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงจัดการบังคับบัญชางานภายในกระทรวงให้มีรูปแบบ มีระบบราชการชัดเจนขึ้น มีลำดับขั้นการบังคับบัญชา มีการแบ่งงานและเลือกสรรผู้มีความสามารถเข้ารับราชการโดยการจัดสอบคัดเลือก ตลอดจนออกระเบียบวินัยต่างๆ เลิกประเพณีให้ข้าราชการทำงานอยู่ที่บ้าน กำหนดให้มีการประชุมข้าราชการทุกวัน กำหนดเวลาการทำงาน ตลอดจนจัดระเบียบส่ง ร่าง เขียน และเก็บหนังสือราชการ อีกทั้งได้ทรงจัดระบบการปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งเรียกว่า “ระบบเทศาภิบาล” ได้เป็นผลสำเร็จ และนับว่าเป็นผลงานสำคัญที่สุดของพระองค์ โดยทรงรวมหัวเมืองต่างๆ จัดเข้าเป็น “มณฑล” และมี “ข้าหลวงเทศาภิบาล” เป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในอำนาจของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยอีกชั้นหนึ่ง สำหรับการแบ่งเขตย่อยลงไปเป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านนั้น ในปี 2440 ได้ออก “พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่” บังคับใช้ทั่วพระราชอาณาจักร พระราชกรณียกิจด้านการปกครองส่วนท้องถิ่นที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ทรงริเริ่มจัดตั้ง “การสุขาภิบาลหัวเมือง” ในปี 2448 โดยเริ่มที่ ต.ท่าฉลอง จ.สมุทรสาคร เป็นแห่งแรก และนับเป็นการปูพื้นฐานการปกครองส่วนท้องถิ่น พระราชกรณียกิจด้านมหาดไทยทุกประการจึงล้วนแต่เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนยั่งยืนมาจนปัจจุบัน นอกจากพระราชกรณียกิจด้านการศึกษาและด้านมหาดไทยแล้ว พระองค์ยังทรงรับพระราชภาระจัดการและมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกิจการด้านอื่นๆ อีกหลายด้าน ได้แก่ ด้านการป่าไม้ ซึ่งทรงริเริ่มก่อตั้งกรมป่าไม้ขึ้น เพื่อให้หน่วยงานของรัฐได้เข้าไปควบคุมดูแลกิจการป่าไม้โดยตรง และทรงริเริ่มให้ดำเนินการออกพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง และกฎข้อบังคับต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ของกรมป่าไม้เป็นหลักสำคัญ และเป็นรากฐานในการปฏิบัติของกรมป่าไม้มาจนถึงปัจจุบัน ทรงริเริ่มการออกโฉนดที่ดิน
ในด้านสาธารณสุข ทรงรับภาระในการจัดการโรงเรียนแพทย์ต่อจากพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ ทรงมีพระดำริเริ่มให้มีโอสถศาลา สำหรับรับหน้าที่ผลิตยาแจกจ่ายให้ราษฎรในตำบลห่างไกล ซึ่งปัจจุบันคือสถานีอนามัย และทรงจัดตั้งปาสตุรสภา สถานที่ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในปัจจุบันโอนไปอยู่ในสังกัดของสถานเสาวภา สภากาชาดไทย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับราชการภารกิจด้านงานสรรพากร และงานอุตสาหกรรมโลหกิจ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนามาถึงปัจจุบันนี้ด้วย
ในส่วนของงานศิลปวัฒนธรรมนั้น พระองค์ได้ทรงวางรากฐานการดำเนินงานของกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ ทรงอุทิศเวลาทรงพระนิพนธ์หนังสือตำราต่างๆ ด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี อันเป็นมรดกทางปัญญาของมวลมนุษยชาติมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ผลงานพระนิพนธ์ของพระองค์ประกอบด้วย พงศาวดาร 134 เรื่อง กวีนิพนธ์ 92 เรื่อง การศาสนา 79 เรื่อง ประวัติต่างๆ 160 เรื่อง ตำนานต่างๆ 130 เรื่อง คำอธิบายแทรก 19 เรื่อง และพระนิพนธ์ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารสมาคมอีก 10 เรื่อง พระเกียรติคุณของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงบำเพ็ญไว้ให้แก่ชาติบ้านเมืองจึงมีมากมายมหาศาล ยากที่จะนำมาพรรณนาได้หมด พระองค์นอกจากจะเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดีของไทยแล้ว ยังทรงเป็นปราชญ์และนักปกครองที่มีพระปรีชาสามารถที่หาได้ยากยิ่งอีกพระองค์หนึ่ง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จลี้ภัยไปประทับที่ปีนังหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2484 เริ่มประชวรด้วยโรคพระหทัยพิการ จึงเสด็จกลับมารักษาพระองค์ในประเทศไทย ทรงมีพระอาการทรงกับทรุดเรื่อยมา จนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2486 ณ วังวรดิศ กรุงเทพฯ ทรงมีโอรสธิดาที่เป็นที่รู้จักของสังคมไทย คือ ม.จ.กาฬวรรณดิศ ดิศกุล อดีตสมุหราชองครักษ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล นักประวัติศาสตร์โบราณคดีและอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้มีชื่อเสียง ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ผู้มีผลงานด้านการเขียนและผลงานด้านการศาสนาเป็นที่รู้จักแพร่หลายน็


