posttoday

อินเดียกับระบบทุนนิยม

12 มีนาคม 2555

ระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันถือว่าอยู่ในระบบทุนนิยม

โดย...รวีภาส กล่ำทวี

ระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันถือว่าอยู่ในระบบทุนนิยม ส่วนจะเสรีมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ทางการเมืองของแต่ละประเทศว่าจะให้ระบบเศรษฐกิจของตนเองเป็นแบบเสรีอยู่ในระดับไหน ทั้งนี้สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าระบบทุนนิยมมีความเป็นเสรีมากน้อยแค่ไหนจะอยู่ที่ภาครัฐ

พื้นฐานของระบบทุนนิยมเป็นระบบที่ได้รับอิทธิพลจากงานเขียนของ อดัม สมิธ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษที่เขียนหนังสือชื่อว่า The Wealth of Nations ในปี 1776 โดยสาระสำคัญของงานเขียนชิ้นนี้ได้แก่ การให้ปัจเจกชนหรือภาคเอกชนมีอิสระในการประกอบธุรกิจหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่โดยปราศจากการแทรกแซงจากภาครัฐ หรือถ้ารัฐจะเข้ามายุ่งเกี่ยวก็เข้ามาได้เฉพาะบางส่วน เช่น การเข้ามาช่วยดูแลสิทธิในทรัพย์สินของภาคเอกชนและการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยสรุปแล้วพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นการให้อิสระและความสำคัญในการทำงานของตลาดมากกว่ารัฐ

กลับมาที่อินเดีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ระดับเดียวกับจีน รัสเซีย และบราซิล หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “กลุ่มประเทศบริกส์” ตามการให้กำเนิดของนักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงิน Goldman Sachs แห่งสหรัฐ

อินเดียมีจุดแข็งของตนเองอยู่ที่ 1) ขนาดของประชากรประมาณ 1,200 ล้านคน หรือน้อยกว่าจำนวนประชากรของจีนไม่เท่าไร 2) อินเดียเป็นประเทศที่อีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า จะมีประชากรในวัยแรงงาน (อายุต่ำกว่า 30 ปี) มากที่สุดในโลก หรือประมาณ 70% ของประชากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน 3) อินเดียถูกจัดให้เป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก 4) เป็นประเทศที่ชนชั้นแรงงานสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี 5) เป็นประเทศที่มีความเก่งกาจเฉพาะอย่าง เช่น การบริการด้านเทคโนโลยีหรือไอทีทัดเทียมกับตะวันตก 6) เป็นประเทศที่กลุ่มประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐ ขยายงานด้าน Outsourcing โดยเฉพาะงานบริการด้านไอทีให้ไปทำจนเป็นล่ำเป็นสัน และทำให้คนงานด้านไอทีของสหรัฐตกงานกันเป็นแถว 7) ระบบทุนนิยมของอินเดียยึดตามแบบทุนนิยมดั้งเดิม คือ ให้ภาคเอกชนนำหน้าเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยรัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้น้อยที่สุด และ 8) อินเดียเป็นทั้งรัฐนิวเคลียร์และรัฐกันชนให้กับสหรัฐในด้านความมั่นคงและการเผชิญหน้ากับบรรดารัฐที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ อย่าง ปากีสถาน จีน และรัสเซีย

อินเดียเป็นเอกราชจากการปกครองของอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ได้เอกราช อินเดียใช้ระบบเศรษฐกิจแบบกึ่งสังคมนิยมและระบบเศรษฐกิจแบบปิด ทำให้ปัญหาด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมาย ต่อมาในช่วงทศวรรษปี 1990 อินเดียเริ่มเปิดประเทศโดยเปลี่ยนแปลงหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด มีการปฏิรูประบบการตลาด เปิดกว้างให้ต่างชาติเข้ามามีบทบาททั้งด้านการค้าและการลงทุน จนทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย (จีดีพี) พุ่งขึ้นจนถึงสองหลักในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา หรืออาจจะเรียกได้ว่า อินเดียก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมแบบเต็มตัว โดยเน้นบริษัทภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อน จนทำให้นักวิชาการและนักเขียนทั่วโลกต่างกำหนดคำเรียกเฉพาะให้กับอินเดียว่า “Idea of India” บ้าง หรือ “Indian Model”

หันมาดูสภาพเศรษฐกิจของอินเดียในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาในปัจจุบัน จากงานเขียนของ Akash Kapur ซึ่งตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Bloomberg Businessweek ในหัวข้อ “Miracle, Interrupted” พบว่าเส้นทางของอินเดียที่จะก้าวไปสู่ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทัดเทียมจีนคงจะไม่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสียแล้ว เนื่องจาก 1) ตัวเลขจีดีพีของอินเดียที่เคยพุ่งขึ้นสูงสองหลักเกิน 10% ในปี 2010 ปัจจุบันลดลงมาที่ประมาณ 7-8% ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความถดถอยของระบบเศรษฐกิจโลก 2) ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3) ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง 4) ตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศลดลง 5) ตัวเลขดัชนีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของอินเดียตกต่ำลง 6) อินเดียยังคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านความสงบเรียบร้อยของสังคมได้ การประท้วงแบบรุนแรงและความเสื่อมของระบบกฎหมายยังคงมีให้เห็นกันอยู่อย่างมากมายในหลายรัฐ ทำให้นักลงทุนเกิดความหวาดกลัว และปัญหาที่ถือว่าหนักหนาสาหัสมากที่สุด ได้แก่ 7) ปัญหาด้านการคอร์รัปชันในอินเดียที่มีการประมาณการกันว่าในแต่ละปีอินเดียต้องสูญเสียเงินงบประมาณที่เกิดจากการคอร์รัปชันไปกว่าปีละ 1.84 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1 แสนล้านบาท)

บรรดานักวิเคราะห์ลงความเห็นว่า ปัญหาความวุ่นวายทางเศรษฐกิจของอินเดียมาจากปัญหาหลักและเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด 3 ประการ ได้แก่ 1) การขาดสถาบันที่เข้มแข็งไว้คอยกำกับดูแลกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน 2) การขาดนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน เฉียบขาด และมีวิสัยทัศน์จากภาครัฐบาล และ 3) การขาดความรับผิดชอบจากภาครัฐบาล

นักวิเคราะห์ทั้งหลายเห็นตรงกันว่า อินเดียจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ หากรัฐบาลเข้มแข็งและมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนและสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและนอกประเทศ กระแสจากทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับบทบาทของภาครัฐในระบบทุนนิยม มีเหตุการณ์ด้านความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในโลกมากมายที่แสดงให้เห็นว่าการปล่อยให้ตลาดเป็นผู้กำหนดความเป็นไปทางเศรษฐกิจเสียทั้งหมดโดยไม่ให้รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยว ผลสุดท้ายแล้วมักจะลงเอยด้วย “ปัญหาความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ” ซึ่งยากที่จะเยียวยา และต่อจากนี้ไปเราจะได้เห็นการแข่งขันกันในสองกระแสหลักของทุนนิยม ได้แก่ ทุนนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชนและทุนนิยมที่ขับเคลื่อนโดยภาครัฐ

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์